ผู้สื่อข่าวมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2564 นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ อดีต ปธ.แผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกายื่นคำร้องถึงประธานคณะกรรมการปราบปราม การทุจริตเเห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องเรียนการกระทำของเจ้าพนักงานรัฐหนังสือ ลงวันที่ 9 มิ.ย.64 ความว่า
สำนักงานศาลยุติธรรมได้ประกาศรับสมัครบุคคลเป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ (ก.ต.คนนอก)ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 ลงวันที่ 23 ธ.ค.63 โดยกำหนดระยะเวลาการรับสมัครระหว่างวันที่ 24 ธ.ค.63- 4 ม.ค.64 ซึ่งมีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจำนวน 4 คน ได้แก่ หมายเลข 1.นายวรสิทธิ์ โรจนพานิช,2.นายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา,3.ศ.ดร.ไผทชิต เอกจริยกร และ 4.นายจำนง เฉลิมฉัตร
ซึ่งต่อมาผลการลงคะแนนปรากฏว่าหมายเลข 3 ศ. ดร.ไผทชิต เอกจริยกรและหมายเลข 4.นายจำนง เฉลิมฉัตร เป็นผู้ได้รับการเลือกในการเลือกกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ นั้นห้ามมิให้มีการหาเสียงโดย พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2553 มาตรา 17วรรคสี่บัญญัติว่า “ให้ถือว่าการกระทำใดๆ อันมีลักษณะเป็นการหาเสียงเพื่อให้ข้าราชการตุลาการลงคะแนนหรืองดเว้นลงคะแนนเลือกบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการใดๆ เป็นการไม่ถือและปฏิบัติตามจริยธรรมของข้าราชการตุลาการ” อันมีผลกระทบต่อการพิจารณาโยกย้ายแต่งตั้งการเลื่อนตำแหน่งและวินัยของข้าราชการตุลาการตามมาตรา 17และมาตรา 62
แต่ปรากฏว่าในการเลือก (ก.ต.) บุคคลภายนอกครั้งนี้มีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวโดยการโพสต์ข้อความลงในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มต่างๆซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำใดๆ อันมีลักษณะเป็นการจูงใจให้ผู้ใดลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรายใดรายหนึ่งและงดเว้นลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรายใดรายหนึ่ง โดยปรากฏว่ามีแอปพลิเคชั่นไลน์หนึ่งซึ่งมีผู้พิพากษาเป็นสมาชิกมากกว่า 1,000 คนชื่อ “สภาตุลาการ” มีผู้ใช้ชื่อโปรไฟล์ว่า “j29 Anuruk” อยู่ในกลุ่มไลน์ดังกล่าวด้วย และมีการกระทำในลักษณะเป็นการหาเสียงอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและเป็นการไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมของข้าราชการตุลาการ
โดยผู้ใช้ไลน์ดังกล่าวเป็น (ก.ต.) ผู้ทรงคุณวุฒิขั้นศาลอุทธรณ์มีหน้าที่ควบคุมดูแลและลงโทษผู้กระทำผิดข้อห้ามของกฎหมายหรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมของข้าราชการตุลาการแล้วในการเลือก (ก.ต.) ศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ
จึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดหน้าที่และอำนาจโดยตรงของตุลาการท่านนั้น ซึ่งเป็น (ก.ต.) ในขณะนั้นในการที่จะดูแลกระบวนการในการเลือก (ก.ต.) คนนอก ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยบริสุทธิ์ยุติธรรมแก่ผู้สมัครทุกคนและวินิจฉัยชี้ขาดคุณสมบัติของผู้สมัคร
ดังนั้นการห้ามหาเสียงหรืออาศัยผู้อื่นหาเสียงย่อมอาจมีผลทำให้ผู้สมัครขาดคุณสมบัติและอาจทำให้กระบวนการในการเลือก (ก.ต.) ผู้ทรงคุณวุฒิในครั้งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายได้หากพิจารณาได้ความว่ามีการหาเสียงในการเลือกครั้งนั้นซึ่งเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย และบุคคลที่จะต้องทำการวินิจฉัยว่ากระบวนการในการเลือก (ก.ต.) และคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับเลือกขัดต่อข้อ 29 วรรคสองของข้อบังคับของประธานศาลฎีกาก็คือ (ก.ต.) ตามที่พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม มาตรา 37 วรรคสามกำหนดหน้าที่และอำนาจไว้
การกระทำของบุคคลดังกล่าวซึ่งนอกจากจะเป็นผู้พิพากษาที่จะต้องปฏิบัติตาม พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมแล้วยังเป็น (ก.ต.) ซึ่งเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และเป็น “เจ้าพนักงานของรัฐ” แต่กลับปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยไม่ตักเตือนหรือดำเนินการทางวินัยแก่บุคคลในไลน์กลุ่มดังกล่าว และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยกระทำผิดวินัยเสียเองโดยการหาเสียงให้แก่ผู้สมัครหมายเลข 3 และหมายเลข 4 ซึ่งเล็งเห็นได้ว่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้สมัครรายอื่นเพราะจะเป็นการทำให้ผู้สมัครหมายเลข 1 และหมายเลข 2 เสียเปรียบเหตุสำคัญดังกล่าว จึงจำเป็นต้องป้องกันและปราบปรามมิให้มีการกระทำเช่นนี้จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาและดำเนินการตามกฎหมาย
นายชำนาญฯ ยังได้เเนบเอกสารหลักฐานเป็น สำเนาหนังสือสำนักงานศาลยุติธรรม พร้อมหลักเกณฑ์การห้ามหาเสียงเลือกกรรมการหรืออนุกรรมการใดๆ,สำเนาหนังสือสำนักงานศาลยุติธรรมพร้อมสำเนาประกาศ (ก.ต.) เรื่องแนวทางพิจารณาเกี่ยวกับจริยธรรมในการหาเสียง,เอกสารจากหน้าจอไลน์จำนวน 69 เเผ่น,เอกสารจากหน้าจอไลน์แสดงการโพสต์ข้อความของผู้ใช้ชื่อโปรไฟล์ไลน์ว่า “j29 Anuruk” จำนวน 11 แผ่น,เอกสารจากหน้าจอไลน์กลุ่มต่างๆที่มีบุคคลอื่นโพสต์ข้อความอันเข้าลักษณะเป็นการหาเสียงให้แก่ผู้สมัคร (ก.ต.) จำนวน 19 แผ่น ประกอบคำร้องด้วย
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน