ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา นายปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริต เเละประพฤติมิชอบภาค 1 ปฏิบัติภารกิจชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยื่นฟ้องศาลอาญาทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง โดยกล่าวหา นายอนุวัตร มุทิกากร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา,นางสาวมรกต วัฒนรุ่งเรืองยศ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และ นายนรินทร์ ทองคำใส รองเลขานุการศาลฎีกา ทั้งสามคนในฐานะประธานเเละคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่ 333/2564 วันที่ 25 มี.ค.64 ลงนามโดยประธานศาลฎีกา กรณี นายปรเมษฐ์ฯ ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปก้าวก่ายหรือเเทรกเเซงการพิจารณาคดึหมายเลขดำที่ อท.48/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบภาค 1โดยนายปรเมษฐ์ฯฟ้องจำเลยทั้งสามในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยศาลอาญาฯนัดฟังคำสั่งในวันที่ 7 มิ.ย.64 เวลา 09.30 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ารายละเอียดคำฟ้องขั้นต้นนั้นระบุว่าวันที่ 26 มี.ค.64 สำนักงานศาลยุติธรรมมีคำสั่งที่ 333/2564 โดยนายอนุวัตรฯ เป็นประธาน,นางสาวมรกตฯ เป็นกรรมการ เเละ นายนรินทร์ฯ เป็นกรรมการเเละเลขานุการ โดยจำเลยทั้งสามมีหน้าที่สอบสวนพยานหลักฐานเเละเสนอความเห็นเพื่อทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดของนายปรเมษฐ์ฯ ที่ถูกกล่าวหาว่าผิดวินัยร้ายเเรง/ไม่ร้ายเเรง/ไม่มีมูลความผิด
คำฟ้องระบุว่า หลังจากมีคำสั่งศาลยุติธรรมเมื่อวันที่ 25 มี.ค.64 พบว่าวันที่ 26 มี.ค.64 จำเลยทั้งสามร่วมเดินทางไปสอบพยานหลักฐานที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบภาค 1 ถัดมาวันที่ 31 มี.ค.64 นายนรินทร์ฯ โทรศัพท์มาเเจ้งนายปรเมษฐ์ฯ ว่าให้มาชี้เเจงกับกรรมการในวันที่ 1 เม.ย.64 เพราะนายอนุวัตรฯ เข้าเวรที่ศาลฎีกาในวันนั้น โดยปกติเเล้วในการปฏิบัติราชการของกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในขั้นต้นต้องมีหนังสือเเจังนัดผู้ถูกล่าวหาเข้าชี้เเจง เเละควรได้รับทราบประเด็นร้องเรียน เพื่อให้สามารถรวบรวมพยานหลักฐานประกอบการชี้เเจง เเละเข้าสืบแก้ในข้อที่เป็นผลร้ายต่อตนเอง
“วันที่ 1 เม.ย.64 โจทก์ปวดท้องมาก เเละวันนั้นมีผู้พิพากษามารายงานตัว เเละขอพบหลายคน เมื่อเสร็จภารกิจจึงไปพบเเพทย์ที่รพ.สระบุรี เเพทย์มีหนังสือความเห็นว่า ตนเป็นกระเพาะอาหารอักเสบควรพักผ่อนในวันที่ 1-2 เม.ย.64 เเละก่อนหน้านั้นคือวันที่ 29 มี.ค.64 ตนไปรพ.ราชวิถี เพราะปวดท้องเเพทย์นัดให้ไปรังสีวินิจฉัยวันที่ 12 พ.ค.64 ด้วย โดยตนทำหนังสือลาป่วยของวันที่ 29 มี.ค.64 เเละวันที่ 1-2 เม.ย.64 ต่อประธานศาลฎีกาเเล้ว
หลังตนพบเเพทย์ที่รพ.สระบุรี เเล้วได้โทรศัพท์ติดต่อนายนรินทร์ฯ หลายครั้งเเต่นายนรินทร์ฯบล็อกโทรศัพท์ตน เพราะตนต้องการไปชี้เเจงต่อกรรมการ ซึ่งเป็นจำเลยทั้งสามในคดีที่ตนฟ้องร้องนี้ เพราะตนต้องการทราบว่าผู้ใดร้องเรียน เเละมีประเด็นใดบ้างเพื่อที่จะได้ทราบสืบแก้ได้ถูกตัอง” คำฟ้องระบุ
คำฟ้องระบุว่า วันที่ 2 เม.ย.64 ตนพยายามติดต่อนายนรินทร์ฯ หลายครั้งเเต่โดนบล็อกโทรศัพท์ ตนจึงติดต่อนายอนุวัตรฯ โดยนายอนุวัตรฯ ตอบว่า กรรมการมีความเห็นไปเเล้ว ตนจึงเเจ้งนายอนุวัตรฯว่าตนยังไม่ได้ชี้เเจงเเละไม่ทราบประเด็นการร้องเรียนที่จำเลยทั้งสามสอบสวนเเละมีผลร้ายเเก่ตน นายอนุวัตรฯ ให้ตนติดต่อนายนรินทร์ฯ ดังนั้นเลขานุการของตนได้เเจ้งนายอนุวัตรฯ ว่าตนโทรศัพท์หา นายนรินทร์ฯ หลายครั้งเเต่ติดต่อไม่ได้ จากนั้นตนยังติดต่อนายนรินทร์ฯ เเต่พบว่าโดนบล็อกโทรศัพท์
“ตนยังพร้อมไปพบกรรมการเเละชี้เเจง เพราะต้องการทราบประเด็นข้อร้องเรียน หากตนได้เข้าชี้เเจงเเละหากกรรมการให้ความเป็นธรรมเเก่ตนก็จะทราบความจริงว่าเป็นกรณีที่ตนปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชธรรมนูญศาลยุติธรรม เเละบทบัญญัติกฎหมาย ตนไม่ได้เเทรกเเซงการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาผู้ใต้บังคับบัญชาเเต่อย่างใด ตอนเกิดเหตุตนเป็นเจ้าของคดีหมายเลขดำที่ อท.48/2563มีความเป็นอิสระในการพิพากษาคดี
จำเลยทั้งสามได้รับการเเเต่งตั้งเป็นกรรมการในกรณีของตนต้องสอบสวนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรมเรื่องหลักเกณฑ์เเละวิธีการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นฯ เเละเมื่อเสร็จสิ้นการสอบสวนขั้นต้นหากผู้ถูกสอบสวนถูกกล่าวหา เเละเป็นผลร้ายโดยไม่มีโอกาสชี้เเจงนั้นหากมีกรณีเช่นนี้ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้เเจงก่อน
ดังนั้นกรณีนี้เป็นการกระทำสอบสวนของกรรมการทั้งสามอย่างเร่งรีบ รวบรัด ด่วนสรุปความเห็นเพียงไม่กี่วันหลังได้รับเเต่งตั้งเป็นกรรมการ หากตนได้เข้าชี้เเจงเข้าสืบเเก้ผลร้ายเเก่ตนตามสิทธิ เเละหลักกฎหมายกับกรรมการทั้งสามนั้น กรรมการจะสอบสวนโดยไม่เร่งรีบฯ ดังนั้นกรรมการทั้งสามที่เป็นจำเลยคดีนี้ร่วมกันงดดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานเเละด่วนสรุปความเห็นจึงไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ,บทบัญญัติกฎหมาย เเละประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม” คำฟ้องระบุ
คำฟ้องระบุว่า น่าสงสัยว่าเหตุใดจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำการดังกล่าวทั้งๆที่เมื่อเสร็จสิ้นการสอบสวนชั้นต้นเเล้ว จำเลยทั้งสามต้องพิจารณาว่ามีข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายเเก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยผู้ถูกกล่าวหายังไม่ไดัชี้เเจง ดังนั้นจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเจตนาไม่ดำเนินการสอบสวนให้เป็นไปตามกฎหมาย เเละประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
ตนมีหนังสือด่วนที่สุดถึงประธานศาลฎีกา เเละกรรมการชุดนี้เมื่อวันที่ 5 พ.ค.64 เพื่อขอความเป็นธรรมเเต่ประธานศาลฎีกานำความเห็นชั้นต้นของจำเลยทั้งสามเสนอคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมเพื่อขอความเห็นชอบให้ตนไปปฏิบัติภารกิจชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมจึงทราบว่าตนยังไม่ได้ชี้เเจงตามที่ถูกกล่าวหา ทำให้ตนเสียหาย จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,81,93
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สาเหตุการฟ้องนายอนุวัตรฯ,นางสาวมรกตฯ และนายนรินทร์ฯ ในครั้งนี้มาจากกรณีที่นายปรเมษฐ์ฯ มีความเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสรุปการสอบสวนของนายอนุวัตรฯ,นางสาวมรกตฯ และ นายนรินทร์ฯ ที่เป็นคณะกรรมการสอบสวนกรณีคำสั่งของประธานศาลฎีกา ย้ายนายปรเมษฐ์ฯ จากตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า กรณีข้างต้นนั้นคาดว่ามาจากกรณีที่นายปรเมษฐ์ฯ ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าแทรกแซงการพิจารณาคดี หมายดำที่ อท. 84/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ระหว่าง นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.,น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. และนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยนายปรเมษฐ์ฯ เป็นเจ้าของสำนวนคดีดังกล่าว และได้พิจารณาสั่งยกคำร้อง
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน