จากกระแสข่าวปิดฉากรักมาราธอน 13 ปี จนฝ่ายหญิง “นินิว” ออกมาโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรม ระบุชัดว่าได้ตัดสินใจลดระยะความสัมพันธ์กับนักร้องชื่อดัง “แบงค์ ปรีติ บารมีอนันต์” หรือ “แบงค์ วงแคลช” มานานกว่า 4 เดือนแล้ว พร้อมขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งเข้ามาให้
ซึ่งล่าสุดทางฟากของ แบงค์ ปรีติ ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องปิดฉากรักครั้งนี้ ขณะเดินทางมาร่วมซ้อมละครเวที “ลอดลายมังกร เดอะ มิวสิคัล” ณ สตูดิโอ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เช่นเดียวกัน โดยเจ้าตัวยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดเกิดจากปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมมานาน ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างพยายามปรับจูนแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พร้อมเอ่ยปากได้แต่งเพลง “ตายก็ยอม” บรรยายความรู้สึกในวันที่สูญเสียความรักอีกด้วย…
หลายคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรัก 13 ปี ระหว่างเรากับนินิว ?
“ผมว่าบางทีความรักมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ข้อผิดพลาดมันมีทุกคนแหละ ผมเองก็ผิด ซึ่งบางคู่ก็ผิดทั้งคู่ แต่ผมว่าผมมีความความผิดพลาดเยอะกว่าเขา ผมรู้สึกว่าเมื่องานเยอะขนาดนี้แล้วเขาเองก็มีงานเยอะด้วย แล้วปัญหามันก็มีแน่นอนลิ้นกับฟัน แล้วมันก็ยุบๆยิบๆ มันเหมือนโรคที่รักษาไม่หาย เพราะฉะนั้นเราถอยกันคนละก้าว เราอาจจะหาหมอผิดก็ได้ หมอที่ดีที่สุดในชีวิตคือตัวเราเองหรือไม่ก็ครอบครัว เราก็เลยลองดูสิว่าเราถอยกันคนละก้าวแล้วมันจะทำให้เรารู้ตัวเองมากขึ้นรึเปล่า เพราะบางทีแรงดันบางอย่างที่อยู่ใกล้กันมันอาจจะดีน้อยกว่าแรงผ่อนของการอยู่ไกลกันแล้วสังเกตตัวเอง”
สาเหตุหลักๆ คนมองว่าเป็นมือที่สาม ?
“ไม่มี ชีวิตผมตอนนี้ ผมไม่ได้เจอพ่อมาเป็นเดือนมากแล้ว คือไม่มีเวลาไปเจอใคร เรื่องมือที่สามไม่มี ชีวิตตอนนี้มีแต่ละครเวทีมาเกือบครึ่งปีแล้วมั้ง”
เมื่อวานนินิวโพสต์ยาวลงไอจีส่วนตัวได้อ่านไหม ?
“อ่านครับอ่านๆ ก็คิดเหมือนเขาหมดเลย คือถ้าผมโพสต์ผมก็คงโพสต์คล้ายๆเขาแหละ แต่ช่วงนี้ละครเวทีมันหนัก เครียดมาก ไม่เคยเครียดแบบนี้มาก่อน”
ก่อนจะจบความสัมพันธ์ลงเราได้มีการเคลียร์กันก่อนไหม ?
“ก็คุยกันว่าเราโตกันแล้วนะ เรื่องนี้มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ที่ผ่านมาให้สัมภาษณ์เราก็ไม่อยากพูดให้หมด เพราะเราก็ไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่บอกว่าเลิกสักพักดีกันแล้ว มันต้องให้มันแน่ชัดก่อนแต่ทุกอย่างเราคุยกันแล้ว”
ยังสามารถคุยกันได้ไหม ?
“คุยได้ครับ คุยได้ คือเราแยกกันมาตั้งสติดีกว่าที่เราเลิกกันแล้วเราไม่รักกันเลย เรายังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ซึ่งผมไม่รอให้ถึงวันนึงที่เราเลิกกันเพราะเราไม่รักกันแล้วจริงๆ”
ถอยออกมาเผื่อวันนึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไหม ?
“ก็เป็นไปได้หมด คือความรักไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องดึงเขาไว้ให้อยู่ใกล้ตัวเราตลอดเวลา บางทีเราก็ต้องคิดแบบตกผลึกว่าเรารักใครคนนึง ผมเคยให้สัมภาษณ์ว่าผมรักใครคนนึงได้ถึงขนาดที่เวลาเขามีคนใหม่ได้แล้วผมไม่เจ็บเลย ถ้าคนใหม่เขาดีกว่าผม ดีกว่าจริงๆ ก็โอเค ไม่เคยหวงว่าไม่ได้ ฉันดีที่สุด เพราะเราก็รู้ตัวว่าเราไม่ได้ดีที่สุดหรอก”
ตอนนี้คุยกันในสถานะอะไร ติดต่อกันบ้างไหม ?
“ก็ยังมีติดต่อกัน ส่งข้อความบ้าง เพราะว่าเขาอยู่เกาหลี ทำธุรกิจเกี่ยวกับความงาม”
เสียดายกับความสัมพันธ์ 13 ปีไหม ?
“ผมก็ตอบเหมือนนิวตอบอ่ะ ผมก็ไม่ค่อยเสียดายมากหรอก เพราะมันมีความสุขมากกว่าความทุกข์ มันยังดีซะกว่าที่ 13 ปีนั้นเราไปคบใครไม่รู้ แล้วก็อกหัก 2-3 รอบ นี่มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดี เพราะฉะนั้นก็เป็นความทรงจำที่ดีที่เราอยู่ด้วยกับและคบกันอย่างมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ก็ดีออก ดีกว่าเราไปอกหักกับคนอื่นหลายๆ รอบภายใน 13 ปี”
หลายคนบอกว่าเป็นเพราะเราไม่อยากแต่งงาน เลยมีปัญหากัน ?
“ไม่ใช่ไม่อยากแต่งงาน มันมีแต่งาน ผมคิดเสมอว่าแต่งงานไปแล้ว แล้วไปมีปัญหาตอนที่แต่งงานไปแล้ว สิ่งนั่นมันเลวร้ายกว่าทั้งสองฝ่ายไม่ว่าหญิงหรือชาย”
เพราะงานเข้ามาเยอะทำให้ไม่มีเวลาใกล้ชิดกัน ?
“ด้วยครับ ต่างคนต่างมีความทะเยอทะยานในการใช้ชีวิตในรูปแบบของงาน ฉะนั้นเราวิ่งๆ แล้วเราล้มมันก็มีแผล เราไม่ได้ดูแลแผลซึ่งกันและกันเท่าที่ควร นิวเขาคงชินกับการที่ผมมีงานด้วย”
เคยคิดถึงเรื่องจะลดงานลง จะได้มีเวลาให้กันมากขึ้นไหม ?
“ไม่เคยคิดนะ เพราะว่าถ้าเกิดเราลดงาน สมมุติถ้าเราแต่งงานไปเราว่ามันก็ยังไม่มั่นคงอย่างที่ผมรู้สึก”
เป็นเพราะความรักมันจืดจางหรือมันเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า ?
“มันไม่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นอะไร เพียงแต่ว่าความรักมันตกผลึกในมุมที่ว่า เฮ้ย…เราจะทะเลาะกันจุกจิกแบบนี้ต่อไปทั้งๆ ที่เรารู้ว่าบางอย่างมันแก้ไม่ได้ไปเรื่อยๆ หรือ และมันจะยิ่งบั่นทอนให้เรารักกันน้อยลงหรือเปล่า ฉะนั้นผมคิดว่าเราต่างฝ่ายต่างค่อยๆ เขยิบออกมาดีกว่าไหม เพราะหลายเดือนที่ผ่านมา ผมก็ยอมรับตรงๆ นะว่า ผมเพิ่งรู้ว่าผมก็มีมุมบางอย่างที่ยังไม่เคยเจอเหมือนกัน”
แสดงว่าที่ผ่านมาเราก็พยายามปรับกันแล้วแต่ไม่สำเร็จ ?
“ใช่ คือเราพยายามรักษามัน แต่พอถึงเวลาหนึ่งเราเริ่มคิดในมุมที่ว่า หรือว่าเราต้องรักษาตัวเองเพื่อที่วันหนึ่งเราอาจจะเป็นคนดีขึ้นระหว่างกันและกัน โอเคบางคนอาจจะมองเราดี บางคนอาจจะมองเราไม่ดี แต่ระหว่างกันเราอาจจะไม่ได้มองเหมือนคนอื่น บางมุมเรามองแตกต่าง ฉะนั้นเราก็ควรจะไปรักษาตัวเองให้ดีต่อกันและกัน”
ระยะเวลา 4 เดือน ที่ห่างกัน เราได้พยายามในการปรับมากน้อยแค่ไหน ?
“ก็ปรับครับ แต่ว่าเราก็คงต้องมองดูห่างๆ เพราะว่าถ้าคุยกันอีกเดี๋ยวเราก็ทะเลาะกันอีก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะถอยหลังออกมานิดหนึ่งทำไม”
ช่วงที่ห่างกัน 4 เดือน ความรู้สึกต่างๆ หรือเรื่องที่เคยทะเลาะกันมันดีขึ้นบ้างไหม ?
“มันก็ตั้งสติได้เมื่อเราไม่มีแรงกดดันในแบบที่เคยมี และพอเราไม่มีปุ๊ปเราก็เริ่มมีสติ คือเราไม่มีความโมโห ไม่มีความขุ่นหมองใจ รวมถึงเรายังมองเห็นด้วยนะว่าบางอย่างที่เราเคยทำผ่านมามันก็ผิดเหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่แค่กับชีวิตคู่นะ แต่กับคนอื่นๆ ก็ด้วย”
ทางครอบครัวทั้งสองครอบครัวว่ายังไงบ้างกับการตัดสินใจครั้งนี้ ?
“เอ่อ…ทั้งสองครอบครัวจริงๆ เขาก็ คือตอนนี้เรายังไม่ได้คุยอะไรเลย และถ้าให้พูดตรงๆ ผมกับนิวเราก็พังทั้งคู่ ณ ตอนนี้ ไม่ได้แข็งแรงอย่างที่แว่นดำมันบอก มันไม่ใช่”
ตอนนี้เราดูแลตัวเองยังไงบ้าง ?
“ก็ทำงานครับไม่ได้ไปไหน ซ้อมงานบางครั้งก็บ่ายสองถึงเที่ยงคืนทุกวัน”
ยังมีช่วงเวลาที่รู้สึกเศร้าบ้างหรือเปล่า ?
“มีสิ คนที่เลิกกับแฟนแล้วไม่เศร้าไม่ใช่มนุษย์นะ มันต้องมีอยู่แล้ว มันต้องมี”
ยังรู้สึกเป็นห่วงพี่นินิวอยู่ไหม ?
“เป็นห่วงครับ เป็นห่วงว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
เพื่อนๆ ในกลุ่มเราล่ะ มีใครพยายามเข้ามาเป็นกาวใจให้บ้างหรือเปล่า ?
“เขารู้ ถ้าเพื่อนจริงๆ เขาจะรู้ว่าระหว่างเราเป็นอะไร เพราะว่าที่ผ่านมาเราก็เป็นที่ปรึกษาให้กับคนอื่นไง แต่พอถึงเวลาที่เราเจอเรื่องตัวเองจริงๆ มันก็มีมุมโง่เหมือนกันนะ อารมณ์แบบทำไมเราให้คำปรึกษาคนอื่นเก่งจังเลย แต่พอเจอกับตัวเองจริงๆ ถึงได้มืดบอดขนาดนี้”
ระบบการใช้ชีวิตมันเปลี่ยนไปไหม จากที่เคยอยู่กันสองคนตลอด ?
“ดูในไอจีแล้วรู้สึกเปลี่ยนไหมละ เปลี่ยนสิ มันก็ต้องเปลี่ยน คือ 3-4 เดือนมานี้ จะเห็นแหละว่าผมเดินห้างคนเดียวบ่อยๆ กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว งงเหมือนกันครับ เพราะผมคบกับแฟนคนแรกที่เลิกกันก็ 6 ปี พอเลิกกันปุ๊ปก็มาเจอกับนินิว และผมก็คบกับนินิวอีก 13 ปี เกือบจะ 14 ปี รวมๆ แล้วมันก็ 20 ปีเลยนะ ฉะนั้นผมไม่เคยอยู่คนเดียวมา 20 ปีแล้ว ข้างในมันก็เลยงงว่าสรุปแล้วการอยู่คนเดียวมันคืออะไร สับสนครับ ยังไม่ชิน”
ถือว่าหลังจากนี้จะพักใจยาวไปเลยไหม ?
“ก็ทำงานละครเวทีนี่แหละครับ โทรหาเพื่อนผู้ชายจะชวนไปดูหนังก็ไม่มีใครไป (หัวเราะ)”
ด้านงานเพลงล่ะจะมีโอกาสทำเพลงให้แฟนๆ ฟังอีกหรือเปล่า ?
“มีครับ เพลง “ตายก็ยอม” ผมเขียนเพลงนี้ 15 นาที ในตอนที่รู้สึกว่าเราสูญเสียอะไรบางอย่างไปแล้วนะ”
แสดงว่าเพลงนี้มาจากชีวิตจริงของเราเลย ?
“จริง และก็เขียนบทเองจากความมืดบอด”
ตอนที่ต้องร้องเพลงนี้ในห้องอัดเป็นยังไงบ้าง ?
“ร้องไม่ได้สิครับ ร้องไม่ได้เลย เพราะข้อความต่างๆ มันอยู่กับเราหมด เราเป็นคนเขียนทั้งหมด แต่สุดท้ายพออินเนอร์มันมาเราตั้งสติได้ ก็ค่อยๆ กลับมาร้องใหม่”
นินิวเขาทราบไหมว่าเพลงนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องราวชีวิตของเราสองคน ?
“ถ้าผมไม่ให้สัมภาษณ์เขาคงไม่รู้ครับ”
เรามีอะไรอยากจะบอกกับเขาบ้างไหม ?
“บอกไปแล้วครับ ล่าสุดส่งอีเมล์ไปบอกเพราะค่าโทรต่างประเทศมันแพง จะส่งข้อความไปทางแชทมันก็ดูจะไม่เป็นข้อความ มันดูเป็นการส่งผ่านมากกว่า ก็เลยตัดสินใจว่าควรใช้อีเมล์ส่งไป เป็นการเคลียร์กันว่าก็ดีๆ เพราะผมเชื่อเราแข็งแรงทั้งคู่ ถึงแม้ภายในจะไม่แข็งแรง แต่ข้างนอกก็ต้องสู้ต่อไป เราต้องดูแลตัวเองให้ได้ และดูแลคนรอบข้างครอบครัวเราให้ได้”
มีประโยคง้อๆ อยู่ในนั้นบ้างไหม ?
“ก็ ก็… ผมใช้ประโยคแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะถ้าใช้ประโยคแบบนั้นเขาจะไม่แข็งแรง”