วันที่ 30 เม.ย.64 เวลา 10.30 น.ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 อาคาร 1 สตม. ซอยสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร : พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วยพล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3,พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ,พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ,พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด,พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุม โดยมีรายละเอียดดังนี้
สืบสวน ตม.3 จับกุมหนุ่มญี่ปุ่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คนร้ายข้ามชาติคนสำคัญ : การจับกุมครั้งนี้ กก.สส.บก.ตม.3 ได้ปฏิบัติงานสืบสวนก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ จึงได้คอยช่วยสอดส่องพฤติกรรม
ของคนต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เป็นที่พึงประสงค์ ซึ่งมีพฤติกรรมใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่ออาชญากรรม หรือเป็นที่หลบหนีซ่อนตัวจากคดี โดยพฤติการณ์กรณีนี้คนร้ายรายนี้ชื่อ Mr.Mizuma อายุ 40 ปี ปรากฏข้อมูลจากทางการญี่ปุ่นว่าได้กระทำผิดในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยร่วมกับพวกจำนวน 8 คน มี Mr.Mizuma เป็นตัวการสำคัญผู้สั่งการในขบวนการนี้ทั้งหมด พฤติกรรมของแก๊งนี้จะโทร.ไปหาเหยื่อและแอบอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเป็นจะต้องตรวจสอบบัญชีเงินฝากเหยื่อ แล้วหลอกเอารหัสพินของบัตร จากนั้นจะส่งคนร้ายอีกคนปลอมตัวเป็นตำรวจ ไปที่บ้านเหยื่อแล้วใช้กลอุบายหลอกขโมยบัตรกดเงินของเหยื่อไปกดเงินเอาเงินไป
ในเวลาต่อมา จนท.กก.สส.บก.ตม.3 สืบทราบว่า Mr.Mizuma พักอาศัยที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จึงได้เข้าไปตรวจสอบพบว่า Mr.Mizuma เป็นตัวของบุคคลที่ทางการญี่ปุ่นต้องการตัวจริงและยังเป็นบุคคล ตามหมายจับของตำรวจสากล นอกจากนึ้ยังพบว่า ได้เดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยวีซ่าท่องเที่ยว และขณะนี้ได้สิ้นสุดการอนุญาตแล้ว จึงได้ควบคุมตัวพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด” นำส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
โดยในคดีดังกล่าวนี้ จากสถิติของสำนักงานตำรวจญี่ปุ่น ในปี 2019 พบว่าคดีฉ้อโกงคอลเซ็นเตอร์มีจำนวนมากถึง 16,851 คดี รวมมูลค่าความเสียหาย ถึง 31,580 ล้านเยน หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ในส่วนคดีของแก๊งนี้ ได้ร่วมกันก่อเหตุรวมทั้งสิ้น 103 คดี มี ผู้เสียหายที่ถูกหลอกเงิน 46 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย 40,500,000 เยน หรือประมาณ 12 ล้านบาท
ตม.จ.สระแก้ว จับขบวนการลักลอบขนคนกัมพูชาเข้าไทย : เนื่องด้วยตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว ได้ทำการสืบสวนกลุ่มขบวนการลักลอบนำคนต่างด้าวเข้าเมืองซึ่งลักลอบเดินทางเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติแถวบ้านเสม็ด หมู่ 3 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยจะอยู่ตรงข้ามกับพื้นที่ อ.โอวจโรว จ.บันเตียนเมียนเจย ประเทศกัมพูชาพอดี ในครั้งนี้มีการสืบทราบว่าขบวนการนี้แบ่งหน้าที่กันทำโดยมีคนกัมพูชาเป็นผู้รับงาน
และสั่งการจ่ายงานโดย นางบานเย็นฯ ใช้บ้านของตนเองเป็นสถานที่พักคอย และมีรถยนต์เก๋ง โตโยต้า สีบรอนซ์ทอง และสีแดง ทะเบียนกรุงเทพฯ ทำหน้าที่ขนส่งคนจากบ้านนางบานเย็นฯ ไปยังจุดหมายต่างๆ
เมื่อทราบข้อมูลแล้วจึงได้วางแผนเข้าจับกุม โดยได้สืบสวนทราบว่าจะมีการขนย้ายคน จึงได้นำกำลังเข้าตรวจสอบพบรถยนต์ทั้งสองคันมีลักษณะตรงตามตำหนิรูปพรรณเป้าหมาย จึงได้แสดงกำลังเข้าตรวจสอบ พบนายประเสริฐ ใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่น อินโนว่า สีบรอนซ์ทอง ทะเบียนจังหวัดกรุงเทพฯ มีผู้โดยสารเป็นคนกัมพูชามาด้วย จำนวน 9 คน และพบนายมนตรีฯ ใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอินโนว่า สีแดง ทะเบียนจังหวัดกรุงเทพฯ มีผู้โดยสารเป็นคนกัมพูชามาด้วยอีก จำนวน 6 คน ได้ข้อมูลว่าเพิ่งรับคนจากบ้านของนางบานเย็นฯ และยังมีชาวกัมพูชาหลงเหลืออยู่ที่บ้านนางบานเย็นฯ อีกจำนวนหนึ่ง จึงได้เข้าตรวจค้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพบชาวกัมพูชาอยู่ในบ้านนางบานเย็นฯ อีกจำนวน 8 คน โดยชาวกัมพูชาทั้งหมดนั้น ตรวจสอบแล้วไม่มีหนังสือเดินทาง ไม่มีวีซ่าทำงานในประเทศไทยอย่างใด โดยสรุปผลการจับกุมคนและของกลางในครั้งนี้ดังนี้ จับผู้ต้องหา แยกเป็นคนไทยให้การช่วยเหลือนำพา จำนวน 3 ราย คนกัมพูชาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 23 ราย รวมทั้งหมดจำนวน 26 คน และตรวจยึดรถของกลางซึ่งใช้ในการกระทำความผิด 2 คัน
โดยแจ้งข้อกล่าวหา นางบานเย็นฯ,นายประเสริฐฯและนายมนตรีฯ ว่า “ช่วยเหลือด้วยประการใดๆ อันตนรู้ว่าเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคตามข้อกำหนด มาตรา 9 ข้อ 5 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548” โดยกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระในแต่ละคน ส่วนคนต่างด้าว จำนวน 23 คน แจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมั่วสุม
ในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคตามข้อกำหนด มาตรา 9 ข้อ 5 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548″ โดยกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระในแต่ละคน เช่นกัน
จากการซักถามผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพโดยให้ข้อมูลทราบว่า มีการสั่งการจ่ายงานจาก ชายชาวกัมพูชา ซึ่งได้รับข้อมูลไว้แล้ว และจะได้ขยายผลติดตามมาดำเนินคดีต่อไป
ตม.จ.สุพรรณบุรี ปราบก๊วนพม่ามั่วสุม เย้ยพรก.ฉุกเฉิน : เนื่องด้วยปัจจุบันสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงและน่าเป็นห่วงอย่างมาก จำเป็นที่ทุกๆคนจะต้องร่วมมือกันเชื่อฟังและกระทำตามมาตรการของทางรัฐบาลโดยเคร่งครัด รัฐบาลได้ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2547 ฉบับที่ 29 ซึ่งทางจังหวัดสุพรรณบุรี ก็มีการออกมาตรการสอดรับที่เข้มข้นเช่นกัน
ในกรณีนี้ ชุดสืบสวน ตม.จ.สุพรรณบุรี ได้รับแจ้งเบาะแสว่า มีคนต่างด้าวชาวเมียนมา มีพฤติกรรมตั้งวงดื่มสุรา ไม่สนใจสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินในปัจจุบัน จึงได้ทำการสืบสวนหาข่าวพิสูจน์ทราบก็พบว่าสถานที่ดังกล่าว เป็นห้องตึกแถวอาคารพาณิชย์ ตั้งอยู่บริเวณ ถนนเณรแก้ว ต.ท่าระหัด อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จึงได้ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงและสาธารณะสุขในพื้นที่เข้าตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว
ผลการตรวจสอบพบว่า มีต่างด้าวชาวเมียนมา จำนวน 12 คน ตั้งวงดื่มสุราอาหาร และเสียงดังอย่างสนุกสนาน จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบว่ามีวีซ่าทำงานถูกต้อง แต่ก่อพฤติกรรมมั่วสุมซึ่งอาจเป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อไวรัสโควิด–19 จึงได้จับกุมตัวพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาว่า “มั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคตามข้อกำหนด มาตรา 9 ข้อ 5 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548” นำส่งดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ตม.จ.นครนายก จับโรฮีนจาหลบหนีเข้าเมืองพร้อมขบวนการให้ที่หลบซ่อน : ด้วยก่อนเกิดเหตุ ชุดสืบสวน ตม.จ.นครนายก ได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีบ้านหนึ่งหลังย่าน ต.พระอาจารย์ อ.องครักษ์
จ.นครนายก รับบุคคลลักษณะคล้ายคนต่างด้าวเชื้อสายมุสลิมแปลกหน้าหมุนเวียนเข้า-ออก อยู่บ่อยครั้ง เป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย เมื่อทราบข้อมูลจึงได้สืบสวนหาข่าวเพื่อพิสูจน์ทราบพบว่ามี Mr.Minta และ Mrs.Chitda คู่สามีภรรยาซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมา เชื้อสายมุสลิม และมีพฤติกรรมดังที่ได้รับแจ้งเบาะแสจริงโดยก่อนจะเกิดเหตุ 2 วัน มีรถต้องสงสัยจำนวน 1 คัน น่าจะขนคนเข้ามาส่งไว้สถานที่ดังกล่าว ต่อมาจึงได้บูรณาการกำลังหน่วยใกล้เคียงเข้าตรวจสอบที่พักดังกล่าว ซึ่งผลการตรวจสอบก็พบ คนต่างด้าวชาวเมียนมาเชื้อสายโรฮีนจา จำนวน 12 คน พักอาศัยอยู่กับ Mr.Minta โดยทั้งหมดหลบหนีเข้าเมืองไม่มีเอกสารใดๆยืนยันตัว จึงได้ข้อกล่าวหา Mr.Minta และ Mrs.Chitda ว่า “ช่วยเหลือด้วยประการใดๆ อันตนรู้ว่าเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ส่วนชาวโรฮีนจา จำนวน 12 คนนั้น แจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำส่งดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
จากการซักถามข้อมูล Mr.Minta รับสารภาพยอมรับว่ารับชาวโรฮีนจาเข้าพักจริง ส่วนชาวโรฮีนจาจำนวน 12 คนนั้นให้ข้อมูลว่า เดินทางมาจากเมียนมาลักลอบเดินเท้าผ่านช่องทางธรรมชาติ อ.แม่สอด จ.ตาก เตรียมมุ่งหน้าจะไปประเทศมาเลเซีย โดยมาพักและเพื่อเปลี่ยนรถบริเวณที่เกิดเหตุ ค่าใช้จ่ายต่อคนนั้น จะมีนายหน้าออกให้ก่อนโดยเมื่อไปถึงประเทศมาเลเซีย ทุกคนจะมีภาระหนี้
ที่ต้องทำงานทดแทนเป็นจำนวน คนละ 80,000 บาทแนวทางการสืบสวนยังพบข้อมูลเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับหลายบุคคล ในขบวนการซึ่งจะได้ดำเนินการขยายผลการจับกุมไปสู่บุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป
พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ฯ ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน