สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) จับมือ กรมศิลปากร ใช้แสงซินโครตรอนและการวิเคราะห์ทดสอบทางวิทยาศาสตร์ อนุรักษ์ศิลปวัตถุและโบราณวัตถุ ชี้จุดเด่นแสงซินโครตรอนสามารถศึกษาความหลากหลาย ความซับซ้อนของโครงสร้างและองค์ประกอบในวัตถุโบราณได้ อีกทั้งศึกษาธาตุองค์ประกอบที่มีปริมาณน้อยมากๆ โดยไม่ทำลายตัวอย่างที่นำมาตรวจวิเคราะห์พร้อมชูตัวอย่างความร่วมมือกับช่างสิบหมู่วิเคราะห์กระจกเกรียบโบราณจากวัดพระแก้วจนคิดค้นวิธีผลิตขึ้นใหม่ นำไปสู่การบูรณะราชรถ ราชยาน ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
วันที่ 29 มีนาคม 2564 ที่ กรุงเทพมหานคร : นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร และ รองศาสตราจารย์ ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กับ กรมศิลปากร ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร
นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการประยุกต์เทคโนโลยีแสงที่มีในปัจจุบัน มาใช้สนับสนุนภารกิจของกรมศิลปากรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งกรมศิลปากร เป็นสถาบันหลักในการสร้างทุนทางปัญญาแก่คนไทยในด้านการอนุรักษ์และสร้างสรรค์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ มีหน้าที่อนุรักษ์ปกป้องและฟื้นฟูมรดกศิลปวัฒนธรรมให้คงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศโดยพัฒนาศักยภาพ และองค์ความรู้รวมทั้งการสร้างมาตรฐานในการอนุรักษ์บำรุงรักษา ซึ่งการบูรณาการข้ามศาสตร์ด้วยวิทยาการเป็นข้อกำหนดสำคัญในหลักการอนุรักษ์”
รองศาสตราจารย์ ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ด้วยแสงซินโครตรอนศึกษาวัตถุที่มีคุณค่าทางโบราณคดีเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เนื่องด้วยแสงซินโครตรอนมีประสิทธิภาพสูง สามารถศึกษาความหลากหลาย ความซับซ้อนของโครงสร้างและองค์ประกอบในวัตถุโบราณได้ และยังสามารถใช้ศึกษาธาตุองค์ประกอบที่มีปริมาณน้อยมากๆ ตรวจวัดข้อมูลที่มีความละเอียดเชิงพื้นที่ได้ และเทคนิคแสงซินโครตรอนหลายเทคนิคนั้น ไม่ทำลายตัวอย่างที่นำมาตรวจวิเคราะห์ จึงตอบโจทย์การวิเคราะห์วัตถุทางโบราณคดีได้เป็นอย่างดี”
สำหรับประเทศไทยนั้นถึงแม้ว่าจะมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก แต่การศึกษาเพื่อระบุอัตลักษณ์ในเชิงลึกยังคงมีจำนวนน้อย ทางสถาบันฯ จึงเห็นถึงความสำคัญในการศึกษาวัตถุโบราณด้วยแสงซินโครตรอนควบคู่กับการวิเคราะห์ทดสอบทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และมุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี และภัณฑารักษ์ เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้และเกิดการบูรณาการระหว่างสหสาขาวิชา อันจะนำไปสู่การยกระดับผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ด้านมรดกวัฒนธรรมและโบราณคดีจากประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับนานาชาติ และพัฒนาความรู้ด้านประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น” รองศาสตราจารย์ ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติม
ทางด้าน ดร.วันทนา คล้ายสุบรรณ์ ผู้จัดการระบบลำเลียงแสงที่ 8 สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน นำเสนอรายงานการปฏิบัติงานและผลงานเด่นที่เกิดจากการทำงานร่วมกันทั้งสองฝ่ายในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยสถาบันฯ มีความร่วมมือกับสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ในการใช้แสงซินโครตรอนวิเคราะห์ส่วนประกอบเชิงธาตุของกระจกเกรียบโบราณจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และคิดค้นวิธีผลิตกระจกเกรียบขึ้นใหม่ ซึ่งนำไปใช้ในการบูรณะและอนุรักษ์ราชรถราชยาน ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
นอกจากนี้สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนยังเคยสนับสนุนการศึกษาวิจัยโบราณคดีอื่นๆ เช่น งานวิจัยค้นหาธาตุที่ให้สีลูกปัดแก้วแบบอินโดแปซิฟิกที่พบในภาคใต้ของประเทศไทย งานวิจัยเพื่อจำแนกวัตถุทำลอกเลียนแบบเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงโดยการวิเคราะห์ธาตุบ่งชี้บางชนิด งานวิจัยสำริดโบราณจากแหล่งโบราณคดีโน่นป่าช้าเก่า จ.นครราชสีมา การให้ความอนุเคราะห์สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ในการใช้แสงซินโครตรอนจำแนกวัสดุสำหรับผลิตลูกปัดโบราณ ว่าผลิตจากเปลือกหอยหรือปะการังหรือซากฟอสซิลบางชนิด
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน