วันที่ 8 มี.ค.64 : ดร.เซปิง ไชยศาส์น ประธานโครงการศัลยกรรมความงามเฟซออฟได้เดินทางมาศาลอาญารัชดาฯ เพื่อยื่นฟ้องคดีอาญาเอาผิดทนายภิญโญภัทร์ ชิดตะวัน ซึ่งเป็นทนายความคู่กรณีที่ ดร.เซปิงฯ ฟ้องหมิ่นประมาท ทั้ง 7 คนรวมถึงพิธีกร หนุ่ม กรรชัยฯ ด้วยที่ไปออกรายการโหนกระแสในข้อหา ทำลาย ซ่อนเร้น ทำให้สูญหาย ลักทรัพย์ ในสถานที่ราชการ
ดร.เซปิงฯ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 4 พ.ย.63 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 ในศาลแขวงดอนเมือง ซึ่งเป็นวันเวลานัดสืบพยานโจทก์จำเลย (คดีแพ่ง ผบ.1622/2563) โดยมีฝ่าย ดร.เซปิงฯ เป็นโจทก์ คู่ความทุกฝ่าย และทนายภิญโญภัทร์ ซึ่งเป็นทนายความของจำเลยในคดีดังกล่าว ระหว่างสืบพยาน ดร.เซปิงฯ อ้างส่งเอกสารประกอบการสืบพยานจำนวน 21 ฉบับ และส่งแฟลชไดร์ฟบันทึกคลิปจำนวน 1 อัน ครั้น ดร.เซปิงฯ จะเบิกความอธิบายถึงเอกสารสำคัญที่ต้องใช้ประกอบในการเบิกความพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งคดีปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวได้หายไป จึงสอบถามทนายภิญโญภัทร์ฯ และจำเลยในคดีดังกล่าวแล้ว ทนายภิญโญภัทร์ฯ แถลงยืนยันว่าไม่ได้เอาเอกสารดังกล่าวไปแต่อย่างใดศาลให้ตรวจสอบหาเอกสารอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่พบ
ดร.เซปิงฯ กล่าวต่อว่าในระหว่างที่สืบพยานตนยังติดใจเกี่ยวกับเอกสารที่หายไป จึงแถลงต่อศาลว่ามีคดีที่ต้องว่าความกับทนายภิญโญภัทร์ฯ หลายคดี และก่อนหน้านี้ในคดีอื่นๆ เอกสารมักหายไป ศาลจึงมีคำสั่งให้ตรวจค้นกระเป๋าถือ กระเป๋าเอกสารและสัมภาระต่างๆ ของจำเลย และกระเป๋าของทนายภิญโญภัทร์ฯ ผลการตรวจค้นปรากฏว่าพบเอกสารที่หายไปถูกเก็บซุกซ่อนอยู่ในซองใส่คอมพิวเตอร์ของทนายภิญโญภัทร์ฯ โดยมีการรูดซิบปิดกระเป๋าใช้คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คทับเอกสารแอบไว้ ศาลสอบถามแล้ว ทนายภิญโญภัทร์ฯ รับสารภาพว่าได้เอาเอกสารของ ดร.เซปิงฯ ไปจริง ทั้งที่ทนายภิญโญภัทร์ฯ รู้ว่าระหว่างสืบพยาน ดร.เซปิงฯ และศาลได้สอบถามหาอยู่แล้ว ในกระบวนพิจารณา ศาลก็ได้บันทึกพฤติกรรมและคำสารภาพไว้ พฤติการณ์ การกระทำของทนายภิญโญภัทร์ฯเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารโดยมีเจตนาทุจริตทำให้สูญหาย ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใดที่ส่งไว้ต่อศาล หรือศาลรักษาไว้ในการพิจารณาคดี ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จครบองค์ประกอบความผิด ฐานทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำความเสียหาย ซึ่งการเอาเอกสารดังกล่าวไปเป็นของตนโดยทุจริต ได้กระทำในห้องพิจารณาคดีของศาล อันเป็นสถานที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 185 มาตรา 188 และฐานลักทรัพย์ในสถานที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(8)
ดร.เซปิงฯ กล่าวต่ออีกว่า ทนายภิญโญภัทร์ฯ เป็นทนายความมีหน้าที่ในการดำเนินคดีในศาลเพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมแก่คู่ความ แต่กล้ากระทำความผิดเสียเองในห้องพิจารณาในขณะที่ศาลกำลังพิจารณาคดีอยู่ ถือว่าทนายภิญโญภัทร์ฯ ไม่เคารพยำเกรงต่อศาลและกฎหมายแม้แต่น้อย ครั้นศาลสอบถามหาเกี่ยวกับเอกสารที่หายไป ทนายภิญโญภัทร์ฯ ยังกล้ากล่าวเท็จยืนยันว่าตนไม่ได้เอาเอกสารดังกล่าวไปแต่อย่างใด ขณะตรวจค้นกระเป๋า ทนายภิญโญภัทร์ฯ พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ยอมให้เปิดดูกระเป๋าง่ายๆ เมื่อตรวจค้นกระเป๋าและสัมภาระของตน ปรากฏว่าพบเอกสารที่หายไป ซึ่งเป็นการจับได้คาหนังคาเขา อันเป็นการจำนนต่อหลักฐาน ทนายภิญโญภัทร์ฯ จึงจำยอมรับสารภาพโดยดี เพราะตรวจค้นต่อหน้าศาลแล้วรับสารภาพ ซึ่งมิใช่เป็นการรับสารภาพด้วยความสมัครใจแต่แรก นับแต่เกิดเหตุ
พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงในห้องพิจารณาอันเป็นการสบประมาทต่อศาล เย่อหยิ่งลำพองใจ ไม่สะทกสะท้านใดๆ แม้แต่น้อย คิดว่าตนสามารถตบตาศาลได้ ในวันดังกล่าว หากศาลไม่สั่งให้มีการตรวจค้นกระเป๋าของทนายภิญโญภัทร์ฯ ก็คงไม่พบเอกสารที่ถูกลักขโมยไปและคงลำพองใจว่า แม้ศาลกำลังพิจารณาคดีอยู่ตนก็ยังสามารถลักเอาเอกสารอันเป็นพยานหลักฐานสำคัญแห่งคดีได้ พฤติการณ์ดังกล่าวนับว่าเป็นการนำความเสื่อมเสียและเป็นการทำลายต่อองค์กรกระบวนการยุติธรรมที่ทุกฝ่ายมีความมั่นใจและไว้วางใจว่าจะได้รับการคุ้มครองความยุติธรรมในศาล นอกจากนั้นทนายภิญโญึภัทร์ฯ ยังมีเจตนามุ่งหมายให้ลูกความของตนชนะคดี และกระทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ฝ่าย ดร.เซปิงฯ แพ้คดี
ดร.เซปิงฯ กล่าวต่ออีกว่าเรื่องนี้ทำให้ตนได้รับความเสียหายอย่างยิ่ง และถือว่าองค์กรศาลได้รับความเสียหายด้วย เนื่องจากทนายภิญโญภัทร์ฯ บังอาจกระทำความผิดอาญาในห้องพิจารณาในขณะศาลกำลังพิจารณาคดีอยู่ ทนายภิญโญภัทร์ฯ เป็นทนายความต้องใช้กฎหมายและดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา การกระทำของทนายภิญโญภัทร์ฯ ยังเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ 2529 ตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 ฐานไม่เคารพยำเกรงต่อศาล ใช้กลอุบายลวงให้ศาลหลง ปกปิดซ่อนงำอำพรางพยานหลักฐานใดๆ ประพฤติตนฝ่าฝืนศีลธรรมหรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ และไม่เคร่งครัดเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งข้อบังคับหรือข้อกำหนดของ สภาทนายความ ตามข้อบังคับที่ 6,7,8,18 และ 21
หลังจากนี้จะไปร้องเรียนต่อสภาทนายความเพื่อให้สอบสวนพฤติการณ์การกระทำของทนายเป็นคดีมารยาททนายความ และร้องขอให้ถอดถอนใบอนุญาตทนายความอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้ทนายความที่ดีพลอยเสื่อมเสียไปด้วย และมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในทางที่ไม่ดีแก่ทนายความรุ่นหลังด้วย
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน