แม่บ้านโรงแรมดังสุดช๊อก พบกระเป๋าผ้าตกกลางถนนข้างหอพักหยิบดูพบว่าเป็นโทรศัพท์ 2 เครื่องกับเงิน 200 บาท พร้อมบัตร ATM 2 ใบ ยืนรอไม่พบเจ้าของจึงเก็บไว้ที่บ้านเพื่อตามตัวเจ้าของ จู่ๆถูกตำรวจเรียกไปพบ เจอข้อหา ลักทรัพย์ในยามวิกาล วันนี้ 2 กพ. 64 นางผ่องศรี จันทร์สืบ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 259 หมู่ 2 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ทำงานเป็นพนักงานโรงแรมดัง (แคนทารี 304 ) ถูก ร.ต.ท.ศราวุธ ศิลป์สาย ร้อยเวร สภ.ศรีมหาโพธิ เรียกพบหลังนาย พยม พนมบวน อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 6 บ้าน อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี เข้าแจ้งความกล่าวหา นางผ่องศรี เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 64 เวลา 11.00 น. ว่า เก็บกระเป๋าผ้าที่ทำตกในระหว่างเดินทางใกล้ที่พัก ซอยบุยายใบ ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี เมื่อช่วงค่ำวันที่ 21 ม.ค. 64 โดยที่ในกระเป๋ามีโทรศัพท์ 2 เครื่อง บัตร เอทีเอ็ม 2 ใบ และเงินสด 4 หมื่นบาท ที่อุตส่าห์เก็บสะสมไว้เพื่อจะเอาไปเข้าธนาคารแล้วไม่ส่งคืนถือว่าเป็นการลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยที่วันนี้นางผ่องศรี พร้อมด้วย นายเสน่ห์ จันทร์สืบ สามี เดินทางมาพบ ร.ต.ท.ศราวุธ ศิลป์สาย เพื่อพูดคุยข้อตกลงกับนายพยม พนมบวน เนื่องจาก นายพยม อ้างว่า นางผ่องศรี เก็บถุงผ้าได้แต่ส่งของหรือทรัพย์สินในถุงไม่ครบยังขาดเงินอีก 4 หมื่นบาท ภายหลังนางผ่องศรีเข้าพบร้อยเวรเจ้าของคดีแล้ว ได้ปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ช่วงก่อนที่ตนจะเก็บถุงผ้าที่มีโทรศัพท์ กับบัตร เอทีเอ็ม และเงิน 200 บาท ขณะที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์ ข้างห้องพักแล้วได้ยินเสียงกระทบจึงหันมาดูพบว่าเป็นถุงถูกรถทับอยู่ข้างถนนจึงเดินมาดูพบว่าข้างในมีสิ่งของดังกล่าวจึงเก็บเพื่อรอเจ้าของจะกลับมาตาม แต่เนื่องเป็นเวลาใกล้สองทุ่มตนจึงเก็บรักษาเอาไว้เพื่อจะหาเจ้าอีกทีในวันรุ่งขึ้น แต่ปรากฏก็ว่าไม่มีใครมาแสองตนเป็นเจ้าของ จนเลยมาถึงวันที่ 22ม.ค. 64 มีหมายจากตำรวจเรียกไปพบแจ้งว่า ถูกเจ้าของที่ตนเก็บไว้แจ้งว่าเป็นผู้เก็บของไว้ไม่ส่งคืนเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดโอกาสให้เจรจาตกลงกัน โดยให้ตนจ่ายเงิน จำนวน 4 หมื่นบาทคืนแล้วจะไม่ถูกดำเนินคดี แต่หากไม่คืนจะถูกตั้งข้อหา ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนทั้งที่ความจริงในกระเป๋าหรือถุงไม่มีเงิน 4 หมื่นตามอ้าง ทำให้ตนแปลกใจว่า ถ้าเงินหายจริงทำไมผู้เป็นเจ้าของถึงไม่แจ้งในคืนที่หาย แต่รออีกหนึ่งวันจึงมาแจ้งเอาผิดตนหลังตรวจภาพจากกล้องวงจรปิดว่าตนเป็นคนเก็บได้ ซึ่งระหว่างเจรจาตนเหมือนถูกข่มขู่ว่าจะโดนข้อหาทำให้เกิดความเครียดกลัวต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ต่อมามีการยินยอมลดเงิน 4 หมื่น เหลือ 3 หมื่น ด้วยความกลัวตนจึงไปกู้เงินเสียดอกร้อยละ 10 มาสองหมื่นเพื่อจะขอจ่ายก่อนที่เหลืออีกหมื่นขอจ่ายสิ้นเดือน ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเพราะตนมีรายได้เพียงตนเดียวหากต้องขึ้นศาลจริงก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ตนขอยืนยันว่าในถุงไม่เงิน 4 หมื่นบาท จะให้สาบานที่ไหนก็ยอม…
ภาพ/ข่าว:ทองสุข สิงห์พิมพ์