ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
โดยวันนี้วันที่ 21 ม.ค.64 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3,พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม.,กก.สส.บก.ตม.3 พร้อมด้วย ชุดสืบสวน ตม.จ.กาญจนบุรี ได้มีการบูรณาการด้านการข่าว ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายที่มีเบาะแสว่ามีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ลักลอบทำงานที่บริเวณจุดดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้
เมื่อวันที่ 18 ม.ค.64 เวลาประมาณ 16.30 น. บก.สส.สตม.,กก.สส.บก.ตม.3 พร้อมด้วยชุดสืบสวน ตม.จ.กาญจนบุรี ได้สืบทราบแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่าในสวนปาล์มน้ำมันไม่มีชื่อ ริมถนนสายบ้านเก่า-พุน้ำร้อน ใกล้จุดตรวจร่วมเขาหนีบ มีการรับแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายไว้ทำงาน และมีการลักลอบตัดไม้ไผ่โดยบุกรุกเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จึงได้บูรณาการกำลังร่วมกับ หน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์,กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จ.กาญจนบุรี และหน่วยดูแลรักษาพื้นที่ทางยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 1 ได้ทำการสำรวจเส้นทางและบริเวณแวดล้อมภายนอกของบ้านเป้าหมาย
โดยจากการวางแผนและนำกำลังไปตรวจสอบบ้านเป้าหมายเบื้องต้น พบว่าเป็นลักษณะไร่ปาล์มน้ำมัน ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 3512 บ้านพุน้ำร้อน-บ้านลำทหาร ห่างจากจุดตรวจร่วมเขาหนีบประมาณ 1.5 กม. โดยเส้นทางเข้าบ้านเป้าหมาย มีจำนวน 2 เส้นทาง โดยทั้ง 2 เส้นทางเป็นประตูเหล็กมีแม่กุญแจล็อคอยู่ มีกล้องวงจรปิดติดอยู่หน้าประตูทางเข้า มีการใช้รั้วลวดหนามล้อมรอบมิดชิดบริเวณด้านหน้าและด้านข้าง ทั้ง 3 ด้าน ทัศนวิสัยสามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ประตูทางเข้าจนถึงลานคอนกรีต และบ้านพักจำนวน 1 หลัง เท่านั้น เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นเนินลาดชันลงไปจากพื้นถนนประกอบกับมีต้นไม้ขึ้นค่อนข้างหนาแน่น ผู้ที่ใช้ถนนสัญจรไม่สามารถมองเห็นภายในได้
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ ให้มีอำนาจตรวจค้นโดยไม่ต้องใช้หมายค้นในพื้นที่ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกได้ทำการปิดล้อมและกระจายกำลังเข้าตรวจสอบภายในบ้านเป้าหมายดังกล่าว พบนายจเรฯ แสดงตนว่าเป็นผู้ดูแลสวนปาล์ม พบของกลางเป็นรถบรรทุกดัดแปลง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน โดยมีไม้ไผ่ลวกที่ทำการมัดแล้วบรรทุกอยู่เต็มคันรถ จากจุดที่พบนายจเรฯ ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาร์อยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้อาศัยความชำนาญในพื้นที่วิ่งหลบหนีไป ประกอบกับพื้นที่เป็นธารน้ำไหลผ่ากลางและมีต้นไม้ค่อนข้างหนาแน่น ทำให้การติดตามจับกุมเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสามารถติดตามกลับมาได้ จำนวน 3 คน มีบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) จำนวน 2 คน อีก 1 คน ไม่มีเอกสารแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ จึงได้นำตัวมาวัดอุณหภูมิ คัดกรองเบื้องต้น ปรากฏว่าไม่มีไข้ และได้นำกำลังบางส่วนตรวจสอบพื้นที่ต่อ โดยหลังจากการตรวจสอบบริเวณโดยรอบโดยละเอียด ปรากฏว่าพบบ้านพักคนงาน อยู่บริเวณด้านหลังทางซ้ายมือของสถานที่ มีลักษณะเป็นเรือนไม้ไผ่ชั้นเดียวยกสูง จำนวน 8-10 หลัง พร้อมอุปกรณ์ในการดำรงชีพ ปลูกอยู่ติดกัน ซึ่งคาดว่าจะมีคนต่างด้าวอาศัยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าออกเป็นประจำในสถานที่ดังกล่าว
จากการสอบถามทราบว่าบุคคลต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารติดตัว ทราบชื่อว่า นายเชค เน่ง เน้ง เชื้อชาติกะเหรี่ยง เข้ามาในราชอาณาจักร ประมาณวันที่ 3 ม.ค.64 ช่วงเวลากลางคืน ผ่านช่องทางธรรมชาติโดยการเดินเท้า ซึ่งได้เดินทางเข้าออกช่องพรมแดนธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง โดยมิได้มีผู้นำพา รับสารภาพว่าเข้ามารับจ้างตัดไม้ลวกและดูแลความเรียบร้อยภายในสวน ได้ค่าจ้างวันละ 200 บาท ส่วน นายจเรฯ มีหน้าที่เป็นผู้ขับรถบรรทุกขนไม้ลวกจากพื้นที่ตัดลงมายังจุดพักไม้ ภายในไร่ดังกล่าว โดยทำงานครั้งละ 3 วัน ได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท ซึ่งรายได้จากการขายไม้ไผ่ลวกได้ครั้งละ 30,000 กว่าบาท ต่อ 1 คันรถ
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา นายเชค เน่ง เน้ง ว่า “เป็นคนต่างด้าว เดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ในมาตรา 18 และมาตรา 62 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท และ มีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ มาตรา 51 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 100,000 บาท” โดยจากการซักถาม นาย เชค เน่ง เน้ง ได้นำข้อมูลดังกล่าวไปกรอกในแบบซักถามขยายผลบุคคลต่างด้าว เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลของ สตม. เรียบร้อยแล้ว
ในส่วนบุคคลต่างด้าวอีก 2 คน ซึ่งมีบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ได้แก่ นาย KYAL ZIN KO สัญชาติเมียนมา และนาย TUN NAING สัญชาติเมียนมาร์ จากสอบถามพยานบุคคลแล้วน่าเชื่อว่าเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ก่อนวันที่ 29 ธ.ค.63 ซึ่งตามมติ ครม. ผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และ เมียนมาร์) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ หากเข้ามาในราชอาณาจักรไทยก่อนวันที่มีการประกาศใช้ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “ไม่แจ้งการเปลี่ยนที่พักภายใน 24 ชม. ซึ่งได้ทำการเปรียบเทียบปรับ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ มาตรา 37(2) เป็นเงินคนละ 4,000 บาท” โดยนายจ้างเป็นผู้จ่ายค่าปรับให้
ในเบื้องต้น ตม.จ.กาญจนบุรี ได้เชิญตัวนายจ้าง มาทำการเปรียบเทียบปรับ ในข้อหา “เป็นเจ้าบ้านไม่แจ้งที่พักอาศัยคนต่างด้าวภายใน 24 ชม. ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ มาตรา 38 โดยเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 3,200 บาท” และได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี ให้ดำเนินคดีกับนายจ้าง ในข้อหา “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หลุดพ้นจากการจับกุมและรับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน มีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ในมาตรา 64 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท และ ความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ มาตรา 27 ระวางโทษปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน” และได้ประสานสำนักงานป่าไม้จังหวัดกาญจนบุรี นำตัวนายจเรฯ ไปชี้จุดตัดไม้รวกเพื่อคำนวณพื้นที่ถูกบุกรุก เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ การบูรณาการการปฏิบัติดังกล่าวเป็นการตอบสนองมาตรการ นโยบายของทางรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องการปราบปรามเครือข่ายขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย และสกัดกั้นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองโรค เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยทางสตม.ได้มีการสืบสวนติดตาม จับกุม และขยายผลพฤติการณ์ในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ ขอฝากประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หมายเลข 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน