ตามที่ พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มอบหมายให้ พันตำรวจโท สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะรองอธิบดีที่กำกับดูแลศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา สั่งการให้ นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา,นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา/ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน ดำเนินการกับบุคคลที่กระทำความผิดในสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ตามเลขสืบสวนที่ 278/2563
วันที่ 7 มกราคม 2564 เวลา 10.00 น. : นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา 1 พร้อมด้วย นายจินกร แก้วศรี รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา 2,นายพงษ์ธวัช อ่วมสำอางค์ ผู้อำนวยการส่วนคดีการฟอกเงินทางอาญา 3 และคณะ ร่วมกับ นายสุวิจักขณ์ ธรรมชัยพจน์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมคณะ
ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ นำโดย พลตำรวจตรี พิเชษฐ จีระนันตสิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และ พันตำรวจเอก นพฤทธิ์ กันทา ผู้กำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้ร่วมกันนำคำสั่งยึดทรัพย์สินของคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 125/2563 ติดประกาศ ณ อาคารเลขที่ 283 หมู่ 9 ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ตามคำสั่งยึดทรัพย์ลำดับที่ 76 ประเภทหอพัก โฉนดที่ดิน เลขที่ 68805 เลขที่ดิน 2092 ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
ในการติดประกาศยึดทรัพย์สิน พบ นายประจวบ นาคำ เป็นเจ้าของกรรรมสิทธิ์ร่วมกลุ่มผู้ต้องหา จึงแจ้งคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมให้ทราบและห้ามมิให้มีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จากการประกาศยึดทรัพย์สิน เป็นลักษณะอาคาร 3 ชั้น ชื่อ คีรียาเพลส จำนวน 54 ห้อง ให้เช่าห้องละ 2,500–2,800 บาท มูลค่าทรัพย์สินจำนองรวมประมาณ 24.3 ล้านบาท โดยขออนุญาตประกอบกิจการผู้ให้เช่าหอพักชาย-หญิง ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า ในปี 2558 อดีตกรรมการสหกรณ์ที่ถูกกล่าวหา ได้นำเงินที่ได้จากการทุจริตสหกรณ์สโมสรรถไฟ ไปจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวม โดยมีค่าตอบแทนในที่ดินแปลงดังกล่าว
ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จะได้ทำการยึด เพื่อดำเนินการบริหารจัดการทรัพย์สิน และดำเนินการให้ศาลแพ่งมีคำพิพากษายึดทรัพย์ต่อไป
อนึ่ง ในการบูรณาการปฏิบัติการร่วมกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นว่าเป็นมาตรการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมายและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน อีกทั้งเพื่อให้คำสั่งยึดทรัพย์สินของคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 125/2563 สัมฤทธิ์ผลในทางปฏิบัติและได้ทรัพย์สินคืนให้ผู้เสียหายโดยเร็ว ทั้งยังขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ซึ่งถือเป็นดอกผลที่สามารถดำเนินการกับทรัพย์สินได้อีกทางหนึ่ง และยังสนองตอบต่อปัญหาการทุจริตและนำทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน คืนให้กับผู้เสียหาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จะเร่งรัดติดตามทรัพย์และบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 อย่างเด็ดขาดต่อไป
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน