ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ในละคร แต่ใครจะไปรู้ว่าชีวิตจริงของนักแสดงสาว “ปูเป้ อรหทัย ซื่อศรีสวัสดิ์” ที่เพิ่งมาทราบว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูตลอดระยะเวลาสามสิบกว่าปีนั้นไม่ใช่ผู้ที่ให้กำเนิดตัวเองแท้ๆ ซึ่งงานนี้สาวปูเป้ได้เผยให้ฟังว่าเธอตามหาแม่ที่แท้จริงอยู่ไม่นานก็ได้เจอ และวางแผนจะพาท่านมาอยู่ด้วยเนื่องจากที่ผ่านมาชีวิตการเป็นอยู่ของท่านค่อนข้างจะลำบาก โล่งที่สามารถรับรู้ว่าตลอดระยะที่ผ่านมาแม่ไม่ได้ต้องการจะทิ้งเธอ เพียงแค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เท่านั้นเอง พร้อมแพลนอนาคตข้างหน้าหากเคลียร์ปัญหาทุกอย่างลงตัวก็อยากเดินทางตามหาพ่อผู้ให้กำเนิดอีกคน
ทำไมถึงตัดสินใจออกมาพูดเรื่องคุณแม่?
“จริงๆ มันเป็นเรื่องในครอบครัวนะ แต่หลายๆ คนรวมถึงพี่ๆ ในวงการก็บอกว่ามันเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่สอนคนได้ เราเลยตัดสินใจออกมาพูดว่า จริงๆ พี่เป้ตามหาคุณแม่และตอนนี้ตามเจอแล้วนะ”
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจตามหาคุณแม่?
“มันเป็นเหตุผลข้างในลึกๆ ค่ะ เราคิดมาตลอดว่าแม่ทิ้งเราไป แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ทุกคนแหละพี่เป้ว่าเขาคงเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ณ เวลานั้นที่ทำได้ เราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าเขาก็ได้นะ ถ้าเราเป็นเด็กอายุ 18-19 ในตอนนั้น”
ตัดสินใจนานไหมที่ถามหาคุณพ่อคุณแม่แท้ๆ กับครอบครัวที่เลี้ยงเรามา?
“รวบรวมความกล้าอยู่ประมาณ 2 วัน แต่เราคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เราจะไปทดแทนพระคุณ เพราะฉะนั้นมันก็ควรที่จะทำ และหลังจากนั้นอีก 2 วันก็ออกตามหา”
เราเริ่มต้นจากจุดไหนสำหรับการหาคุณแม่?
“เริ่มจากคุณแม่ที่เลี้ยงมาบอกเราว่าให้ไปตามกับใคร คือก็พอจะทราบที่มาที่ไปกันอยู่แล้วค่ะ”
เห็นบอกว่าวันที่เจอคุณแม่แท้ๆ ท่านก็ตกใจจนร้องไห้ออกมา?
“ตกใจ เพราะท่านก็คงไม่คิดแล้ว เราหมดช่วงเซ็นซิทีปช่วงวัยรุ่นมาแล้ว เขาก็คงไม่คิดว่าเราจะมาถาม แต่ด้วยความที่เราตัดสินใจแล้วเลยรวบรวมความกล้าถามวันนั้นเลย วันนั้นเราไปเจอเลยค่ะ กลัวว่าถ้าโทรเขาจะไม่คุย เราคิดอยู่ในใจเล็กๆ ว่าแม่จะยอมเจอเราหรือเปล่า จึงตัดสินใจบุกไปเลยเมื่อ 2 เดือนที่แล้วค่ะ พี่เป้ใช้เวลาไปหาเพียงวันเดียว”
วินาทีแรกที่เจอท่าน เรารู้สึกอย่างไรบ้าง?
“ตกใจเหมือนกัน เพราะท่านดูไม่แข็งแรงเลย ด้วยความที่ท่านอาจจะทำงานหนักมาตลอดยี่สิบปี และท่านก็ไม่ได้มีครอบครัวใหม่ อาศัยอยู่กับญาติๆ มีหลานคอยดูแล ก็อยู่ในที่ที่ปลอดภัยค่ะ เป็นบ้านไม้ ถ้าในมุมเรามองเราก็อาจจะมองว่าลำบาก แต่ถ้ามองอีกแง่นึงท่านอยู่อย่างนั้นท่านก็อาจจะมีความสุขในแบบของท่าน เราอย่าเพิ่งไปตัดสินว่าตรงนั้นลำบากหรือไม่ลำบาก”
ตอนท่านเห็นหน้าเรา ท่านจำเราได้ไหม?
“จำได้ เพราะเขาเห็นเราในทีวีมาตลอด ตอนที่พี่เป้ได้ยินตอนแรกเลยว่าคุณแม่ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาด ได้เงินวันละ 300 บาท ก็ช็อกเลย เราคิดว่าเราไปทำอะไรอยู่ไหนมาตั้งหลายปี ทำไมถึงปล่อยให้เป็นแบบนี้ แล้วคือแม่ทำงานกะกลางคืนด้วยนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะท่านแก่แล้วใครให้ทำอะไรก็ต้องทำ กลัวไม่มีงานทำ แล้วคุณแม่จะหลังค่อมนิดนึงเพราะท่านต้องปูเตียง ปูที่นอนมาตลอด 20 ปีค่ะ”
นอกจากถามสาระทุกข์สุขดิบแล้ววันนั้นมีโอกาสคุยอะไรอีกบ้าง?
“เจอครั้งแรกก็กอดเลยค่ะ แล้วก็มองว่าต้นกำเนิดเราเป็นแบบนี้เหรอ (ยิ้ม) มองตามประสาคนไม่เคยเจอเนอะ ก็มอง ดู สังเกตทุกอย่าง และให้สตางค์ ก็พูดคุยกันปกติค่ะ”
หลังจากนี้จะดูแลคุณแม่อย่างไรต่อ?
“คือตอนนี้พี่เป้ยังอยู่บ้านที่คุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงมา ส่วนคุณแม่หมวยยังอยู่บ้านญาติ แต่พี่เป้จะไปๆ มาๆ สม่ำเสมอ ให้สตางค์ พาไปเที่ยว พาไปทำบุญ พาไปกินข้าว คือเจอกันบ่อยมาก”
ในไอจีเห็นล้างเท้า พาไปทานข้าวบ่อยๆ?
“ทำหมดทุกอย่าง รู้สึกว่าเราต้องรีบทำ เพราะเวลาที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำอะไรเลย”
เจอคุณแม่ได้ถามคำถามที่คาใจ หรือติดใจมาตลอดไหม?
“มีถามเหมือนกันว่า แม่ทิ้งหนูหรือเปล่า (เสียงสั่น) คือมันอยากรู้อ่ะ แต่แม่ก็บอกว่าแม่ไม่ได้ทิ้งนะลูก แต่แม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่”
จากนี้ไปวาวแผนจะดูแลคุณแม่ทั้งสองท่านอย่างไร?
“ทำให้ดีที่สุดค่ะ และทุกวันนี้พี่เป้ว่าพี่เป้ก็ทำดีที่สุดแล้ว ก็แบ่งเวลา คุณแม่ที่เลี้ยงมาก็สนับสนุนค่ะ ท่านบอกว่าสมควรที่จะให้แม่หมวยมาอยู่กับทางเรา โอกาสมันเป็นไปได้ค่ะ ก็มีการพูดคุยกันแล้ว คุณแม่หมวยน่าจะยอมนะ เราก็ให้กำลังใจกันในครอบครัวค่ะ เพราะมันเป็นช่วงที่เปลี่ยน ชีวิตมันเปลี่ยนมาก มันเซ็นซิทีปมากๆ ด้วย”
หลายคนอดห่วงความรู้สึกครอบครัวที่เลี้ยงเรามา จะแอบน้อยใจไหม?
“พี่เป้จะพูดเสมอค่ะว่า พ่อกับแม่เลี้ยงพี่เป้มาให้เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นพ่อกับแม่รู้ดีที่สุดว่าพี่เป้เป็นคนยังไง ถ้าเกิดมีอะไรที่พี้เป้ทำผิดพลาดหรือทำให้รู้สึกไม่ดี พี่เป้ก็ขอโทษ ก็คือพูดขอโทษเขาไว้ก่อนเลย”
ขอถามถึงเรื่องคุณพ่อที่แท้จริง จะมีโอกาสตามหาเหมือนคุณแม่ไหม?
“ลำดับต่อไปค่ะ (ยิ้ม) ขอเคลียร์ชีวิตตรงนี้ก่อน แต่ก็มีแอบคิดไว้เหมือนกัน คุณพ่อเป็นคนออสเตเรียค่ะพี่เป้ก็ถามแม่หมวยเหมือนกัน แต่ต้องรอจังหวะเพราะแกเองก็เพิ่งเจอลูก คงยังงงๆ อยู่ ชีวิตก็เปลี่ยนเยอะ”
เห็นบอกว่าคุณพ่อที่เลี้ยงเราก็ป่วย อาการเป็นอย่างไรบ้าง?
“ถ้าเป็นด้านจิตใจแกก็แฮปปี้ค่ะ แต่ร่างกายมันก็เป็นไปตามสภาพคนฟอกไตเนอะ ตาก็มองไม่เห็นเหมือนเดิม พี่เป้ก็จะทำงานดูแลครอบครัว โหตอนนี้ขับรถไปหาแม่หมวยที่อุดมสุข มาหาพ่อแม่ที่เลี้ยงเราพุทธมณฑลไปกลับแบบนี้ แม่ก็ถามไม่เหนื่อยเหรอลูก มันเหนื่อยแต่ก็ต้องทำเนอะ”
โล่งไหม เพราะคำถามที่อยู่ในใจเราได้คำตอบเคลียร์หมดแล้ว?
“โล่งตั้งแต่วันที่เจอเขาวันแรกเลยค่ะ พอเขาบอกว่าเขารักเรามาก เขาไม่ได้ทิ้งเรานะ ยังติดตามผลงานเราตลอด ไปแอบบอกคนนู้นคนนี้ว่านี่คือลูก ไปบอกพนักงานเซเว่น ไปเปิดหนังสือละครดูแล้วก็ชี้ว่านี่คือลูกป้านะ เราก็ถามว่าแล้วพนักงานเซเว่นเขาเชื่อเหรอแม่ เขาก็บอกคงเชื่อมั้งเพราะแม่บอกเขาตลอด ก็ได้แต่บอกพนักงานเซเว่นเนอะ (หัวเราะ)”
ทั้งสามท่านมีโอกาสได้เจอกันหรือยัง?
“ยังค่ะ ยังไม่ได้เจอกันเป็นกิจะลักษณะ ควรจะมีโอกาสเร็วๆ นี้ ค่อยเป็นค่อยไป”
แล้วเรื่องหัวใจตอนนี้เราเป็นอย่างไรบ้าง มีคนมาดูแลหรือยัง?
“โห ยุ่งขนาดนี้เนอะ (หัวเราะ) ก็มีคนมาชอบ แต่เนื่องด้วยเรายังไม่ได้มีเวลาตรงนั้นจริงๆ คนที่เข้ามาก็รับรู้ปัญหาครอบครัวเรา เพราะพี่ก็จะมีเรื่องเดียว ถ้าเข้ามาเราก็จะคุยและปรึกษาเรื่องนี้ตลอด จะบอกชีวิตเราเป็นอย่างนี้ ค่อนข้างซับซ้อน ส่วนตัวก็อยากมีครอบครัวนะ แต่เดี๋ยวค่อยคิดเป็นสเต็ปต่อไปเนอะ”
เครดิตภาพ IG: pupe_onhathai