อาชีพในสายวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องทดลองแคบๆ เสมอไป ยังมีอีกหลายอาชีพที่คุณอาจไม่รู้ว่ามีอยู่ ดังเช่น 7 อาชีพที่จะยกตัวอย่าง
-นักออกแบบพลุ
เส้นแสงสีสวยๆ งามๆ ที่ระเบิดขึ้นหลังพลุแตกนั้น เป็นผลพวงจากการออกแบบของนักเคมี ซึ่งจะจะออกแบบด้วยองค์ความรู้ว่าสารเคมีใดจะปลดปล่อยสีสันสวยๆ ออกมาเมื่อได้รับความร้อน ตัวอย่างเช่น สารประกอบทองแดงจะเผาไหม้เป็นสีน้ำเงิน สารประกอบสตรอนเทียมจะให้สีแดงเข้ม และโซเดียมจะให้สีเหลืองจ้า เป็นต้น สารเคมีที่ให้สีสันเหล่านี้ทำปฏิกิริยาได้ง่าย และบางครั้งเป็นอันตรายด้วย ซึ่งไลฟ์ไซน์ระบุว่าการเป็นนักออกแบบพลุนั้นมักต้องการผู้มีความรู้ด้านเคมีระดับปริญญาโทขึ้นไป
-นักจิตวิทยาอวกาศ
เป็นอาชีพที่มีหน้าที่ศึกษาว่ามนุษย์อวกาศรับมือกับสภาพในเที่ยวบินอวกาศและสภาพไร้น้ำหนักในอวกาศอย่างไร ทั้งนี้ งานของมนุษย์อวกาศนั้นเป็นงานที่ต่อเนื่องและมีความเข้มงวดสูง เที่ยวบินอวกาศจริงๆ ยังมีความรู้สึกพันธนาการทางกายภาพที่ไม่คุ้นเคย เช่น ภาวะไร้หนักและความเร่ง เป็นต้น นักจิตวิทยาจึงมีหน้าที่แนะนำแนวทางดีที่สุดสำหรับมนุษย์อวกาศในการควบคุมกายและใจ ซึ่งรวมถึงการพักผ่อน และอาชีพนี้จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อมีการเดินทางสู่วกาศเป็นระยะทางนานๆ เช่น ปฏิบัติการส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร เป็นต้น
-นักเซ็กส์วิทยา
เป็นการศึกษาในเรื่องเพศหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพศ โดยเฉพาะในความเป็นมนุษย์ ซึ่งงานด้านนี้มีขอบเขตที่กว้าง ต้องอาศัยทั้งศาสตร์ด้านชีววิทยา การแพทย์ จิตวิทยา สังคมวิทยา และศาสตร์ด้านอื่นๆ นักเซ็กส์วิทยาจะศึกษาทุกอย่างตั้งแต่ภาวะเจริญพันธุ์ แนวโน้มทางเพศ ไปจนถึงกลไกระหว่างมีเพศสัมพันธุ์ รวมถึงความผิดปกติของอวัยวะเพศ
*อ้างความหมายเซ็กส์วิทยาจากพจนานุกรมออนไลน์เมอร์เรยม-เวบสเตอร์ (Merriam-Webster)
-นักรีดพิษงู (Snake milker)
นักรีดพิษงูซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสัตว์ที่มีหน้าที่รีดพิษจากงูพิษ ซึ่งพิษงูที่มีฤทธิ์ถึงตายนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซรุ่มแก้พิษงู และถูกใช้อย่างแพร่หลายทางการแพทย์ โดยนักรีดพิษงูจะรีดพิษออกจากเขี้ยวงูแล้วเก็บในรูปผงแห้งแช่แข็ง ซึ่งห้องปฏิบัติการวิจัยจะใช้เพื่อผลิตยาสำหรับลิ่มเลือด ป้องกันหัวใจวายและความดันสูง
-นักคูถวิยา (Scatologist)
เป็นผู้ศึกษาในทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวมูลและสิ่งปฏิกูล ซึ่งการศึกษาศาสตร์ดังกล่าวจะให้ข้อมูลแก่นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับถิ่นอาศัย สุขภาพโดยรวมและโรคที่ปรากฏ อีกทั้งองค์ประกอบในมูลสัตว์นั้นจะบ่งบอกถึงสิ่งที่สัตว์เหล่านั้นกิน และจะบอกได้ว่าสัตว์เหล่านั้นอยู่ที่ไหน เช่น แบคทีเรียในมูลสัตว์จะให้ตัวอย่างของแบคทีเรียในลำไส้สัตว์และช่วงเวลาที่สัตว์นั้นๆ ดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งจะช่วยประเมินสุขภาพของสัตว์ได้ การศึกษาเรื่องนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อการรักษาทางการแพทย์ในคน ตัวอย่างเช่น การบำบัดโรคติดเชื้อในลำไส้ที่รักษาได้ยาก ด้วยการเติมแบคทีเรียจากอุจจาระที่ช่วยสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ผู่ป่วย เพื่อฟื้นคืนแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์เหล่านั้น
-นักหัวเราะบำบัด (Laughter therapist)
การหัวเราะเป็นยาดีที่สุดหรืออย่างน้อยก็เป็นการบำบัดที่ดีที่สุด และยังพบอีกว่าการหัวเราะช่วยลดความเครียดและเสริมภูมิคุ้มกัน นักหัวเราะบำบัดจะทำให้ผู้ป่วยหัวเราะเบาๆ โดยไม่ใช้มุขตลกหรือเรื่องขำ แต่จะนำออกกำลังที่ช่วยให้ผู้ป่วยหัวเราะได้ลึกและเป็นสุขเหมือนที่เด็กทารกเป็น
-นักวิทยาศาสตร์ด้านการหมัก (Fermentation scientist)
ทั้งเบียร์ ไวน์ ขนมปัง ชีส ของดองและโยเกิร์ต ล้วนอาศัยการหมักดอง โดยกระบวนการจะเกิดขึ้นจากยีสต์หรือแบคทีเรียเปลี่ยนน้ำตาลเป็นกรด ก๊าซหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ด้านหมักจะศึกษาว่าจุลินทรีย์เหล่านั้นใช้ในกระบวนการหมักได้อย่างไร ซึ่งหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) คือนักวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้คนแรก หลังจากที่เขาค้นพบว่ายีสต์ทำให้เกิดการหมักได้