เตือนชาวกรุง! ไข้ซิการะบาดในกทม.แล้ว ติดเชื้อเพียบ-สาทรมากสุด
รายงานข่าวจากสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยข้อมูล ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสซิกาในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะนี้ พบจำนวนรวมกว่า 20 ราย กระจายอยู่ในพื้นที่เขตต่างๆ โดยพื้นที่เขตสาทร เป็นเขตที่พบผู้ติดเชื้อดังกล่าวมากที่สุด ทั้งนี้ หนึ่งในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสซิกานั้น เป็นหญิงตั้งครรภ์ และได้รับเชื้อมาจากต่างประเทศ ปัจจุบันคลอดแล้ว ซึ่งยังต้องติดตามอาการและสถานการณ์ แต่พบทารกแข็งแรงดี ไม่พบความผิดปกติ ตรวจเลือด และปัสสาวะไม่พบเชื้อใดๆ แต่ก็ยังต้องติดตามผลเลือดต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง
สำหรับ ไวรัสซิกา ถือเป็นโรคที่มียุงเป็นพาหนะ และจะส่งผลกับหญิงตั้งครรภ์อย่างมาก เนื่องจากจะส่งผลต่อสุขภาพของเด็กในครรภ์ ซึ่งกทม.ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งฝึกอบรมบุคลากรทีมสอบสวนควบคุมโรคเคลื่อนที่เร็ว จากทุกศูนย์บริการสาธารณสุข เพื่อสร้างเครือข่ายในการเฝ้าระวัง และแจ้งข่าวไว้ทุกระดับ พร้อมทั้งจัดทำหนังสือแจ้งเตือน เผยแพร่องค์ความรู้ แนวทางการดำเนินงานดำเนินงานเฝ้าระวัง และสอบสวนโรคแก่ศูนย์บริการสาธารณสุข และสถานพยาบาลในกรุงเทพฯ รวมทั้งสำนักงานเขต เพื่อเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมรับมือโรคติดเชื้อไวรัสซิกา
ทั้งนี้ เมื่อพบผู้ป่วยในพื้นที่กทม.จะกำหนดพื้นที่เป้าหมาย รัศมี 100 เมตร จากบ้านและที่ทำงาน ของผู้ป่วย เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธ์ลูกน้ำ ภายใน 5 วัน และควบคุมโรคให้ได้ภายใน 14 วัน พร้อมทั้งค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมในชุมชน ในโรงเรียน หรือสถานที่ทำงาน และเฝ้าระวังผู้ที่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายทุกคน ถือว่าเป็นผู้สัมผัส ซึ่งต้องติดตามอาการเป็นเวลา 14 วัน และหากพบหญิงตั้งครรภ์ในพื้นที่เป้าหมาย กทม.จะให้คำแนะนำในการป้องกันตนเอง ไม่ให้ยุงกัด ติดตามเฝ้าระวังการติดเชื้ออย่างใกล้ชิด จนกว่าการระบาดในพื้นที่จะสงบลง
นอกจากนี้ กทม.จะดำเนินการกำจัดยุงทั้งในบ้านและนอกบ้าน ตั้งแต่วันแรก และทำซ้ำต่อเนื่องทุก 7 วัน จนกว่าผลการตรวจจะไม่พบเชื้อซิกา อีกทั้ง กทม.จะทำการประชาสัมพันธ์ให้คำแนะนำแก่ประชาชนเพื่อป้องกันโรค โดยเฉพาะการป้องกันยุงกัดในหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงประสานด้านการเฝ้าระวัง และควบคุมโรคกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิดอีกด้วย สำหรับอาการของโรคไข้ซิกา คือ ไข้ ผื่นแดง เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ อาการเหล่านี้ปกติแล้วจะเป็นเพียงเล็กน้อย และอาการจะเป็นอยู่ประมาณ 2 – 7 วัน และจะหายได้เอง แต่หากผู้ป่วยมีอาการป่วยรุนแรง จะต้องรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคอย่างละเอียดทันที