หลังสิ้นเสียงนกหวีดยาว ในเกมที่ “ทัพช้างศึก” ทีมชาติไทย เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ ทีมชาติญุี่ปุ่น 0-2 ในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย เมื่อช่วงค่ำวันอังคารที่ 6 กันยายน ที่ผ่านมา
มันบ่งบอกว่า เรายังเป็นรอง “ทัพซามูไรบลู” อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการเซตบอลเพื่อเข้าทำ การแย่งบอลมาครอง รวมถึงการตั้งรับ ซึ่งทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นพื้นฐานของการเล่นฟุตบอล
จริงอยู่แม้ผลการแข่งขันจะไม่ได้ห่างมากนัก เมื่อเสียเพียงแค่ 2 ประตู แต่หากดูที่รูปเกมและเปอร์เซ็นต์การครองบอลเรายังเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด พูดกันตามตรง ทีมชาติญี่ปุ่น มาในครั้งนี้ด้วยฟอร์มที่ไม่ดีเหมือนเดิม พวกเขาเพิ่งจะเสียท่าแพ้ต่อ ยูเออี คาบ้านมา 1-2
ขณะที่แนวรุกก็ขาดความเด็ดขาด ถึงขนาดต้องจับ ชินจิ โอคาซากิ ดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีมนั่งที่ข้างสนาม และให้โอกาส ทาคุมะ อาซาโนะ ดาวรุ่งที่กำลังฟอร์มแรงลงเล่นแทน
ส่วนอีกประเด็นที่ทำให้สกอร์ไม่ขาดมากนักก็คือผู้รักษาประตูที่ชื่อ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่โชว์ฟอร์มเซฟอุตลุตเกือบตลอดทั้งเกม ถึงขนาดที่ เอเอฟซี ยกย่องให้เป็นผู้เล่นที่น่าจับตามองในการแข่งขันนัดนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ในเกมนี้คือ นักเตะในทีมทุกคนพยายามที่จะสู้ แม้โดยรวมมันจะสู้ไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับชุดที่ผ่านๆมา ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือทีมชาติไทยที่ดูเป็นระบบมากที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมาในชีวิต
โดยเครดิตส่วนใหญ่ต้องยกให้กับ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ที่สร้างทีมขึ้นมาอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนการเก็บตัว ตั้งแต่การทำทีมชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี ในศึกซีเกมส์ ซึ่งทุกอย่างมันเป็นขั้นเป็นตอน ก่อนก้าวขึ้นคุมทีมชุดใหญ่
ถึงตอนนี้เป้าหมายของเราในศึกฟุตบอลโลก ยังคงเหมือนเดิมคือการทำตามความฝันของใครหลายต่อหลายคนกับวลีที่ว่า “ไทยจะไปบอลโลก” แต่เอาในความเป็นจริง แม้มันดูจะเลือนลางเมื่อผ่านไปแล้ว 2 เกม เราเก็บไม่ได้เลยแม้แต่แต้มเดียว
แต่ในเมื่อยังเหลืออีก 8 เกม ให้เราได้ลุ้น นักฟุตบอลก็ต้องสู้ต่อ แฟนบอลก็ต้องเชียร์กันต่อไป เราต้องกล้ายอมรับความจริงว่า ระดับโลกมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ชาติเรายังเป็นรองคู่แข่งร่วมกลุ่มอยู่มาก
มองกันง่ายๆ อย่าง ญี่ปุ่น ชาติในเอเชียที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในปัจจุบัน กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ พวกเขาผ่านอะไรมามากมายขนาดไหน และต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกมามากมายหลายปีเหมือนกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันได้เลยนั่นคือ เรามาถูกทางแล้ว เราคือ 12 ทีมที่ดีที่สุดในเอเชียในครั้งนี้ ที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้ด้วยฝีเท้าของเราเอง ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองที่สามารถทะลุเข้ามาถึงรอบนี้ได้
หลังทำได้ครั้งแรก เมื่อปี 2002 ที่เราผ่านเข้ารอบสุดท้ายในรอบคัดเลือก โดยเป็นครั้งที่ ญี่ปุ่น กับ เกาหลีใต้ ไม่ต้องร่วมแข่งขันในรอบคัดเลือก เนื่องจากรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก หนแรกบนแผ่นดินเอเชีย
หลายคนอาจวิจารณ์ไปต่างๆนานา แต่อยากจะบอกว่า วิจารณ์ กับ ลงมือทำ มันต่างกัน ลมปากใครก็พ่นกันได้ แต่กับคนที่ลงมือทำเราคงต้องให้เวลา ถึงตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า แฟนบอลอย่างเราๆจะรอกันได้หรือไม่
กับความสำเร็จที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาถึงเสียที แต่บอกเลยว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดูบอลแล้วมีความสุขที่สุด เพราะมันทำให้เชื่อได้ว่า เราเข้าใกล้กับคำว่า “ฟุตบอลโลก” มากขึ้นกว่าทุกครั้งที่เคยมีมา
Cr.weeza