นางสาวยิ่งลักษณ์ เผยสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากนโยบายด้านสุขภาพต่างๆ ในสมัยยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในคอลัมน์ประจำสัปดาห์ “เก็บมาเล่า”
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนในคอลัมน์ “เก็บมาเล่า” ประจำสัปดาห์ โดยคราวนี้เป็นการกล่างถึงนโยบายด้านสุขภาพที่สมัยยังดำรงตำแหน่งอยู่นั้นได้นำนโยบายโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมาต่อยอดด้วยการบริหารงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ผ่านการบูรณาการสิทธิประโยชน์ ระหว่าง 3 กองทุน คือ กองทุนประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนสวัสดิการรักษาข้าราชการ และกองทุนประกันสังคม เพื่อจุดประสงค์คือลดความเหลื่อมล้ำ และให้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์และประสิทธิภาพทางการรักษาอย่างเต็มที่
Yingluck Shinawatra
#เก็บมาเล่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันได้เล่าถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว สัปดาห์นี้จึงอยากจะหยิบยกเรื่องความสำคัญของสุขภาพประชาชน ซึ่งนับเป็นปัจจัยหลักของสังคมมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
หากมองย้อนไปโครงการการ 30 บาทรักษาทุกโรค กำแพงพิงหลังของผู้ยากไร้ ในหลักคิดที่ว่า “ประชาชนทุกคนควรได้รับสิทธิในการรับการรักษาพยาบาลที่มีคุณค่า อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง” ถูกนำมาใช้และประสบความสำเร็จเป็นอันมากในช่วงรัฐบาลไทยรักไทย และเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายอมาตยา เซ็น ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ที่บอกว่า “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายสาธารณสุขที่โลกควรเอาเป็นแม่แบบ… ทำให้ไทยมีอัตราการตายลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นนโยบายที่สร้างความเท่าเทียมกันในสังคมด้านการแพทย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ต่อมาในสมัยรัฐบาลดิฉันเองได้ต่อยอดนโยบายดังกล่าวด้วยการบริหารงบประมาณ ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ผ่านการบูรณาการสิทธิประโยชน์ ระหว่าง 3 กองทุน คือ กองทุนประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนประกันสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และให้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์และประสิทธิภาพทางการรักษาอย่างเต็มที่ เช่น
1. กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน เพื่อลดอัตราการตายหรือเจ็บป่วยให้มากที่สุด ด้วยการที่ให้ประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุ สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาล ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น โดยไม่ต้องสำรองจ่าย อีกทั้งผู้ป่วยไตวายและผู้ป่วย HIV ยังได้รับวิธีการรักษาที่ดีมีมาตรฐานการเดียวกัน
2. การย้ายสิทธิบัตรทองในกรณีไปทำงานหรือเรียนต่อต่างภูมิลำเนาโดยใช้แค่บัตรประชาชนเพียงใบเดียวไปแจ้งย้ายสิทธิที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการรักษาให้มากที่สุด
3. การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ ประชาชนมียาที่มีมาตรฐานและคุณภาพใช้อย่างเพียงพอ แม้ยาแพงแต่หากเหมาะสมกับโรค รัฐบาลก็จะจัดหาให้ พร้อมขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมโรคร้ายแรงและมีค่าใช้จ่ายสูงด้วยค่ะ
4. การใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแพทย์ พยาบาล โดยเฉพาะในที่ห่างไกล เสมือนคนไทยมีหมอประจำครอบครัวที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ดูแลสุขภาพถึงที่บ้าน และช่วยประสานการส่งต่อไปรับบริการกับผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือที่เรียกว่า Telemedicine
5. การลดค่าใช้จ่าย ด้วยการทำงานเชิงรุกป้องกันโรคที่จะเกิดหรือติดเชื้อมากขึ้นโดยพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดี รวมถึงการส่งเสริม แพทย์แผนไทยอีกด้วย
ซึ่งทุกๆครั้งที่ลงพื้นที่ในหลายจังหวัดหรือแม้แต่กระทั่งในกรุงเทพฯเองพี่น้องประชาชนก็ยังคงพูดถึงประโยชน์ที่ตัวเองหรือญาติพี่น้องได้รับจากโครงการดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา ฟังแล้วก็ปลื้มใจค่ะ และดิฉันก็ยังได้รับโทรศัพท์มาขอบคุณด้วยตัวเองถึงระบบแพทย์ฉุกเฉินว่า ตอนที่คุณแม่เขาประสบอุบัติเหตุและคิดว่า คงไม่ทีเงินจ่ายค่ารักษาแน่ แต่ด้วยนโยบายไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน ทำให้เขาสามารถช่วยแม่ให้รอดชีวิตได้ ดิฉันก็หวังแต่เพียงว่าประชาชนคนไทยจะสามารถเข้าถึงและได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในการรับการรักษาพยาบาลอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียมกันนะคะ เพราะหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือ “การลงทุน” ในทรัพยกรมนุษย์ของประเทศมากกว่า “การใช้จ่าย” หากประชาชนมีสุขภาพดี ก็ย่อมจะเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติต่อไปค่ะ #เก็บมาเล่า