(11ส.ค.63)เมื่อเวลา 10.50 น.พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตสนช.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีตสว.และนายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ ร่วมกันลงชื่อในหนังสือยื่นร้องต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี โดยยื่นผ่านนายพันศักดิ์ เจริญ ผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชน
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกรณีนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีพฤติกรรมก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการอย่างร้ายแรง พฤติกรรมการคุกคามทางเพศข้าราชการหญิงซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา อันเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศของข้าราชการ และการปฏิบัติหน้าที่ราชการจนส่อว่าจะทำให้รัฐบาลต้องเสียค่าโง่จากการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้าอีกเป็นเงิน 1,590 ล้านบาท จากที่บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฟ้องสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต่อศาลปกครองกลาง
ในหนังสือร้องเรียนได้ระบุถึงพฤติกรรมของนายสรศักดิ์ว่าโครงการจัดสร้างแบบจำลองอาคารรัฐสภาทองคำ เพื่อทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่นายสรศักดิ์เป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินการ และเคยแถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 สรุปได้ว่า สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ยกเลิกสัญญาในการจัดสร้างแบบจำลองอาคารรัฐสภาทองคำไปแล้ว และ “แนวทางที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะดำเนินการต่อไปคือ หางบประมาณเองจากงบในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อก่อสร้าง ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ (2561) แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็จะเอาทองคำทั้งหมดที่ขณะนี้เก็บไว้ในตู้นิรภัย โดยห้องมั่นคงของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไปคืนกระทรวงการคลัง จากนั้นก็จะตั้งงบประมาณใหม่ เพื่อก่อสร้างให้เสร็จทันภายในปีหน้า (2562) และจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ต่อไป” แต่จนถึงขณะนี้เวลาผ่านมามากกว่า 2 ปี 5 เดือนแล้ว นายสรศักดิ์ กลับไม่ได้ให้ความสําคัญกับโครงการนี้แต่อย่างใด
นายสรศักดิ์ยังมีเรื่องการคุกคามทางเพศต่อผู้ใต้บังคับบัญชาโดยใช้ Line จากโทรศัพท์มือถือของทางราชการ หมายเลข 089-9253269 อันเป็นทรัพย์สินของทางราชการ ซึ่งมีไว้ให้ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ใช้ติดต่อราชการ แต่นายสรศักดิ์ กลับนำมาใช้ส่งข้อความและรูปภาพลามกอนาจาร เป็นการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหาย ในขณะกำลังปฏิบัติราชการในการประชุม ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 12 – 15 มีนาคม 2562 อีกด้วย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเคยมีมติเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 เห็นชอบร่างมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องนี้ เพื่อให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างเคร่งครัด มีมาตรฐาน “ จัดการกับผู้กระทำผิดให้เข็ดหลาบ รวมถึงเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายอย่างรวดเร็ว” ตามที่ได้ประกาศต่อสาธารณชนว่านายกรัฐมนตรีเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ แต่กลับปรากฏว่านายสรศักดิ์ ไม่ได้ถูกดำเนินการใดๆ ขณะที่ผู้ได้รับความเสียหายถูกนายสรศักดิ์ ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ตามคำสั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรสภาผู้แทนราษฎรที่ 179/2563เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 โดยมีการข่มขู่ผู้เสียหายผ่านบุคคลที่3ว่าใครจะถูกออกจากราชการก่อนกัน!
นอกจากนี้นายสรศักดิ์ ยังถูกร้องเรียนเรื่องการขยายเวลาก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ถึง4ครั้ง เป็นเวลา 1,864 วันและมีพฤติกรรมทำความเสียหายต่อราชการอย่างร้ายแรง ซึ่งส่อไปในการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน จากการที่เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการขยายเวลาครั้งที่ 4ว่า “ การขยายระยะเวลาก่อสร้างครั้งนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นฝ่ายผิด” ทั้งที่ตนเองมีสถานะเป็นหัวหน้าส่วนราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ย่อมส่งผลโดยตรงทำให้ผู้รับจ้างยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในการเรียกร้องค่าเสียหายต่อทางราชการได้ จนในที่สุดผู้รับจ้างได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นเงินจำนวนกว่า 1,590 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมถึงเรื่องที่บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างสภาผู้แทนราษฎรแห่งใหม่
ที่เป็นบริษัทของตระกูลรองนายกรัฐมนตรีครม.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเรียกร้องค่าเร่งรัดงานสร้างห้องประชุมสุริยัน-จันทรา อีกเป็นจำนวน 215 ล้านบาทด้วย เห็นได้ชัดว่านายสรศักดิ์ ไม่ได้ดำเนินการใดๆในการปกป้องผลประโยชน์ของราชการ และเงินภาษีอากรของประชาชน หากปล่อยให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ราชการเดิมต่อไป ย่อมส่งผลร้ายต่อการวางรูปคดีการต่อสู้ของทางราชการในอนาคตได้ ดังนั้น ด้วยข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจสั่งการเพื่อระงับยับยั้งความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อราชการจากการกระทำของนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป