(23 ก.ค.63)นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ปปช.ชี้มูลความผิดนักการเมืองกรณีโรดโชว์ 240 ล้านบาท สร้างอนาคตประเทศไทย 2020 ว่า ตนได้ยื่นหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษต่อปปช.ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 จนเวลาผ่านมา 5 ปี 8 เดือน กว่าที่ปปช.จะชี้มูลความผิดนักการเมืองและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามแม้ปปช.จะชี้มูลความผิดแล้ว แต่ก็ต้องถือว่าผู้ถูกชี้มูลทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าไปจบที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายวัชระ กล่าวถึงสาเหตุที่ต้องไปยื่นให้ปปช.ดำเนินการเรื่องนี้ เพราะระบอบทักษิณใช้สื่อขณะนั้นเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง และใช้งบประมาณแผ่นดินตอบแทนปูนบำเหน็จให้กระบอกเสียงของตนโดยวิธีพิเศษและไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย โครงการโรดโชว์วิธีพิเศษ สัญญาเดียว 100 ล้านบาท นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ มีตำแหน่งเป็นเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่ได้มอบอำนาจให้นายพงษ์ศักดิ์ ศิริวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลางปฎิบัติราชการแทน ซึ่งระดับผู้อำนวยการสำนักมีอำนาจจัดซื้อจัดจ้างสูงถึง 100 ล้านบาทหรือ และเหตุใดนายสุรนันทน์ จึงไม่ลงนามเอง ส่วนบริษัทเอกชนก็ให้พนักงานสุภาพสตรีลงนามเป็นคู่สัญญาแทนผู้บริหารบริษัท ในฐานะที่ตนเป็นโฆษกคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2557 ได้เรียกเอกสารจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมาตรวจสอบ จึงได้เอกสารประกอบการร้องเรียน และเห็นพฤติการณ์ที่ส่อว่าทุจริตครบถ้วน จึงนำไปยื่นให้ปปช.ทันทีตามหน้าที่ของส.ส.ในขณะนั้น และ ท้้งๆที่รู้ว่านายสุรนันทน์เป็นพี่น้องกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น แต่กรรมเป็นเรื่องเฉพาะตน นายอภิสิทธิ์ก็ให้สิทธิ์สนับสนุนการตรวจสอบทุจริตอย่างเต็มที่
นายวัชระ ชี้อีกว่าเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ของพวกลูกหาบการเมืองที่มุ่งรับใช้ผู้มีอำนาจ เมื่ออำนาจหมด ก็ต้องไปจบที่ศาลทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายต่อไป แต่ที่แน่ๆ อำนาจนั้นไม่ยั่งยืน การทุจริตที่แอบแฝงมากับอำนาจ ไม่นานก็จะถูกเปิดเผย ต้องคิดใหม่ทำใหม่ใจสะอาดในการบริหารประเทศ อย่าสร้างภาพพจน์หลอกลวงประชาชน สักวันหนึ่งประชาชนและกระบวนการยุติธรรมก็จะจับได้ไล่ทันในที่สุด อย่าได้ตบตาประชาชน