วัชระจี้ทบทวนหลักเกณฑ์ยื่นเอกสารสอบเป็นขร.สภาที่ล้าหลัง พร้อมเสนอชวนถึงเวลาพักราชการเลขาสภาฯแล้ว
(2ก.ค.63)นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทบทวนการออกประกาศสมัครสอบพนักงานราชการรัฐสภาและข้าราชการตำรวจรัฐสภา
ที่ลงนามโดย นายสรศักดิ์ รับสมัครสอบพนักงานราชการ 73 อัตรา ตั้งแต่วันที่ 3-12 ก.ค. 2563 พบว่า ในประกาศข้อที่ 4 เรื่องหลักฐานและเอกสารที่ใช้ในการสมัครสอบ มีการกำหนดให้ผู้สมัครสอบต้องจัดส่งใบสมัคร พร้อมเอกสารและหลักฐานทางไปรษณีย์ไปยังกลุ่มงานบริหารงานบุคคล สำนักบริหารงานกลาง หลังจากดำเนินการสมัครสอบทางอินเตอร์เน็ตและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดให้ผู้สมัครดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 ก.ค. 2563 นั้น
มีข้อสังเกตว่า หลักฐานประกอบที่ผู้สมัครสอบต้องนำส่งทางไปรษณีย์จำนวนมากถึง 6 รายการ ทั้งใบสมัครสอบที่ติดรูปถ่ายหน้าตรง สำเนาเอกสารจบการศึกษา สำเนาระเบียนแสดงผลการศึกษา สำเนาบัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้าน ใบรับรองแพทย์ซึ่งแพทย์ออกให้ไม่เกิน 6 เดือน และสำเนาหลักฐานอื่นๆ ซึ่งหลักฐานทั้งหมดนี้ ในการสมัครสอบข้าราชการหรือพนักงานราชการเท่าที่เห็นเป็นส่วนใหญ่ จะไม่มีการบังคับให้ผู้สมัครต้องส่งเอกสารหลักฐานเหล่านี้ในขั้นตอนการสมัครสอบข้อเขียน แต่จะบังคับให้ส่งต่อเมื่อผู้สมัครสอบผ่านข้อเขียน แล้วเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสัมภาษณ์เท่านั้นจึงค่อยดำเนินการ เพื่อจะไม่เป็นภาระต่อผู้สมัครสอบจำนวนมาก ที่นอกจากจะเสียเงินค่าสมัครสอบแล้ว ยังต้องไปถ่ายสำเนาเอกสารต่างๆ หลายรายการ ประกอบกับต้องเสียค่าส่งไปรษณีย์ และค่าขอใบรับรองแพทย์อีกด้วย ทั้งที่ผู้สมัครสอบยังไม่ทันจะได้สอบอะไรเลย หากผู้สมัครสอบไม่ผ่านการสอบข้อเขียน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่วนนี้ก็จะสูญเปล่าไป และหน่วยงานราชการยังต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ในการดูแลจัดเก็บเอกสารของผู้สมัครสอบจำนวนมากโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
นายวัชระ ยังเปรียบเทียบให้เห็นว่า การประกาศรับสมัครสอบข้าราชการและพนักงานราชการของหน่วยงานอื่น แม้แต่หน่วยงานใกล้ชิดกันอย่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ที่ออกประกาศรับสมัครสอบพนักงานราชการ 18 อัตรา ตั้งแต่วันที่ 2-16 ก.ค. 2563 ยังกำหนดให้ผู้สมัครสอบต้องนำใบสมัครสอบ พร้อมหลักฐานและเอกสารการสมัครในทำนองเดียวกันไปยื่นในวันสอบสัมภาษณ์เท่านั้น การที่นายสรศักดิ์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกประกาศรับสมัครสอบโดยไม่คำนึงว่าเป็นการเพิ่มภาระของผู้สมัครสอบและเจ้าหน้าที่โดยไม่จำเป็น เป็นการทำงานที่ล้าหลัง ไม่สอดคล้องกับความก้าวหน้า ตามนโยบายของรัฐบาลและหน่วยงานราชการอื่นที่มุ่งหน้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งต้องลดภาระประชาชน จึงขอเรียกร้องให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทบทวนปรับปรุงแก้ไขประกาศดังกล่าวให้เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ รวมถึงประกาศสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง “รับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการรัฐสภาสามัญ ในตำแหน่งตำรวจรัฐสภา ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ” ที่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีลักษณะทำนองเดียวกันนี้ที่ควรมีการทบทวนเช่นเดียวกัน เพื่อจะให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายมากกว่า
นายวัชระเห็นว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรควรสั่งพักราชการนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้แล้ว เพราะถูกตั้งกรรมการสอบสวนการคุกคามทางเพศซึ่งเป็นข้อหาร้ายแรงตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว แต่กรรมการกลับแช่แข็งผลการสอบสวนกว่า 9 เดือน มิหนำซ้ำการปฏิบัติราชการของนายสรศักดิ์ยังเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับเหมาฟ้องศาลปกครองกลางเรียกค่าเสียหายถึง 1,590 ล้านบาท และล่าสุดกรณีสร้างภาระให้ประชาชนในกรณีนี้ จึงต้องขอความกรุณานายชวนว่าถึงเวลาจัดการข้าราชการที่คุกคามทางเพศให้เฉียบขาดเพื่อเป็นตัวอย่างในการรักษาไว้ซึ่งจริยธรรมและสร้างระบบธรรมาภิบาลของข้าราชการรัฐสภาตามที่เคยให้โอวาทไว้