สืบเนื่องจากกรณี บก.ปคม.ร่วมคอมมานโด 904 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบุกทลายเครือข่ายขบวนการอุ้มบุญข้ามชาติ ค้นเป้าหมาย 10 จุด รวบ 2 ผัวเมียชาวจีน และคนไทยร่วมแก๊ง 9 คน ยึดทรัพย์ร่วม 100 ล้านบาท สุดอึ้ง 1 ในบ้านเป้าหมายที่ตรวจค้นย่านนาคนิวาส พบทารกวัยแบเบาะ 2 คน และหญิงไทยที่รับจ้างตั้งท้องอีก 7 คน ตำรวจยังไม่แจ้งข้อหาแต่คัดแยกออกมาในฐานะเหยื่อ กลุ่มนายหน้าชาวจีนรับออเดอร์จากเศรษฐีชาวจีนที่ต้องการบุตร ด้วยการชักชวนสาวไทยให้ตั้งท้องแทนในราคา 4-5 แสนบาท ต่อการคลอดลูก 1 คน แต่ถ้าได้ฝาแฝดค่าจ้างจะสูงถึง 6 แสนบาท หากตกลงกันได้จะพาไปฉีดสเปิร์มที่ประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเลี่ยงกฎหมาย เมื่อตั้งท้องแล้วจะพากลับมาประคบประหงมในไทย ก่อนจะพาไปคลอดที่จีน เมื่อวันที่ 13 ก.พ.63 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันที่ 29 พ.ค.63 เวลา 10.00 น.ที่ บก.ปคม. พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบก.ปคม.พร้อมด้วย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.),นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย ผอ.กองคดี 2 สำนักงาน ปปง.,พ.ต.อ.มานะ กลีบสัตบุศย์ รอง ผบก.ปคม.,พ.ต.อ.ณรงค์ เทศวิบูลย์ รอง ผบก.ปคม. และพ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ อ่อนตา ผกก.2 บก.ปคม. แถลงปิดคดีทลายแก๊งอุ้มบุญข้ามชาติ
พล.ต.ต.วรวัฒน์ฯ กล่าวว่า บก.ปคม.ตั้งคณะทำงานร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทลายขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งอุ้มบุญข้ามชาติตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ.63 โดยจัดกลุ่มเป็น 5 กลุ่มคือ
1.กลุ่มแม่อุ้มบุญ
2.กลุ่มหญิงขายไข่-ชายขายอสุจิ
3.กลุ่มนายหน้าจัดหาแม่อุ้มบุญ
4.กลุ่มนายหน้าติดต่อนายทุนจีน และ
5.กลุ่มนายทุนจีน
ภายหลังปฎิบัติการร่วมมุกหน่วยงาน มีการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องประมาณ 500 ราย ก่อนมีการออกหมายจับกุมผู้ต้องหาล็อตแรก 13 ราย จับกุมได้ 11 ราย และมีหญิงไทยถูกจับที่จีน 1 รายและนายหยาง เฉิน ผู้ต้องหาชาวจีนหลบหนี 1 ราย ล่าสุดออกหมายผู้ต้องหาล็อตที่ 2 จำนวน 10 รายเป็นกลุ่ม แพทย์ นักวิยศาสตร์ กลุ่มนี้มีการมอบตัวและเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 10 รายแล้ว รวมออกหมายจับทั้งหมด 23 ราย จับกุมได้ 22 ราย (รวมหญิงไทยที่ถูกจีนจับกุม) เหลือเพียงชาวจีนที่ยังหลบหนี 1 ราย
ด้าน พ.ต.อ.มานะฯ กล่าวว่า จากพฤติกรรมเครือข่าย “เจ้า หราน” ทราบว่าแม่ชาวจีนมีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่ได้จะติดต่อนายหน้าซึ่งมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนที่เคยเป็นแม่อุ้มบุญผันตัวมาเป็นนายหน้า หรือ กลุ่มนายหน้าโดยตรงจะหาแม่อุ้มบุญ โดยก่อนปี 2558 ยังไม่มีกฎหมายการอุ้มบุญมักลักลอบทำในประเทศไทย แต่เมื่อมีกฎหมายดังกล่าวจึงเดินทางไปฝังตัวอ่อนที่ประเทศลาวและเวียดนาม ก่อนกลับเข้าพักที่ไทยจนครบกำหนดคลอด บางส่วนจะคลอดในไทยก่อนพาเด็กไปส่งยังพ่อแม่ที่ประเทศจีน ขณะที่แม่อุ้มบุญอีกส่วนจะไปคลอดที่จีนแล้วส่งเด็กให้พ่อแม่และบินกลับไทยมาคนเดียว
พ.ต.อ.ณรงค์ฯ เผยว่า ผู้ต้องหาทั้งหมด 21 รายที่จับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานอัยการพิจารณา ซึ่งอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง ตามความผิด “สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า ร่วมกันซื้อ เสนอซื้อ ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน
ด้าน นพ.ธเรศฯ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ บก.ปอท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันทลายเครือข่ายอุ้มบุญข้ามชาติชาวจีน ซึ่งเป็นขบวนการที่ซับซ้อนและยากแก่การทลาย ที่ผ่านมาประเทศไทยมีสถานพยาบาลกว่า 100 แห่ง ที่ดำเนินการเรื่องเทคนิคทางการแพทย์ชั้นสูง หรือการผสมเชื้อ ฝังตัวอ่อน อย่างถูกกฏหมาย ในกรณีที่ต้องการมีบุตรจริงๆแต่ไม่สามารถทำได้กว่า 400 รายแล้ว ต่อมามีการออกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรือ พ.ร.บ.อุ้มบุญ มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2558 จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทลายแก๊งอุ้มบุญอย่างผิดกฏหมาย
“ในส่วนแพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์และสถานพยาบาลที่เกี่ยวข้องในคดีอุ้มบุญข้ามชาตินั้น ดำเนินคดี 2 ส่วน 1.ด้านดำเนินด้านคดีอาญา ใจตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ และ2.ส่วนวินัยและจรรยาบรรณแพทย์ ทาง สบส.จะมีการตั้งกรรมการสอบ ซึ่งหากพิจารณาสรุปว่าผิดจริง จะดำเนินการถอนใบอนุญาต และถอนใบอนุญาตประกอบการสถานพยาบาลนั้นๆทันที หากประชาชนมีเบาะแสดแจ้งได้ที่สายด่วน สบส.หมายเลข 1426” นพ.ธเรศฯ กล่าว
ขณะที่ นายกมลสิษฐ์ฯ เผยว่า ปปง.ได้มีการตรวจพบมีเงินหนุนเวียนในระบบขบวนการอุ้มบุญข้ามชาติพบมีเงินหมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาท จึงดำเนินการอายัดทรัพย์เป็นบ้าน ที่ดิน และยานพาหนะรวมกว่า 100 ล้าาบาทแล้ว หลังจากนี้รอเข้าบอร์ด ปปง.เพื่อพิจารณาให้ตกเป็นของแผ่นดินตามขั้นตอนกฏหมายต่อไป
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน