เจ้าหน้าที่กู้ภัยและทีมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ในมลรัฐลุยเซียนา ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนมากกว่า 7,000 ราย ที่ติดค้างอยู่ในบ้านพักของตน หลังเผชิญเหตุอุทกภัยครั้งเลวร้าย ขณะที่ผู้ว่าการรัฐประกาศสละ “จวนผู้ว่าฯ” ที่ถูกกระแสน้ำไหลบ่าเข้าท่วม พร้อมเตือนประชาชนให้ระวังอันตรายจาก “งูพิษ”
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องก่อให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ในหลายพื้นที่ทางภาคใต้ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่มลรัฐลุยเซียนาที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุด เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 ราย และมีผู้สูญหายไปกับกระแสน้ำซึ่งยังไม่ทราบชะตากรรมอีก 1 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่สามารถให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่ได้แล้วมากกว่า 7,000 ราย
ด้าน จอห์น เบล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนา ซึ่งก่อนหน้านี้ออกมาประกาศภาวะฉุกเฉินในรัฐของตนตั้งแต่วันศุกร์ (12 ส.ค.) และให้คำมั่นจะเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มความสามารถ ได้ออกมาแถลงอีกครั้งในวันอาทิตย์ (14 ส.ค.) โดยระบุ ระดับของน้ำท่วมโดยภาพรวมในมลรัฐของตนยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น พร้อมเตือนให้ประชาชนที่ยังไม่ยอมอพยพออกจากบ้านเรือนของตน ให้ระวังอันตรายจากเหตุไฟฟ้าช็อต และอันตรายจาก “งูพิษ” นานาชนิด ที่ลอยมากับกระแสน้ำ
ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนายังยอมรับว่า ตัวเขาและครอบครัวได้ตัดสินใจอพยพออกจาก “จวนผู้ว่าฯ” แล้ว หลังถูกกระแสน้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ชั้นล่างจนมิด ส่งผลให้ต้องมีการตัดกระแสไฟฟ้า แต่ไม่มีการเปิดเผยว่า ตัวเขาและครอบครัวได้อพยพไปพักอาศัย ณ สถานที่แห่งใดในเวลานี้
รายงานข่าวระบุว่า กระแสน้ำที่ไหลบ่าเข้าท่วมหลายพื้นที่ของมลรัฐลุยเซียนาได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนของประชาชนไปแล้วมากกว่า 2,000 หลัง ทั้งในเขตเบตัน รูจตะวันออกและเขตลิฟวิงสตัน ยังไม่นับรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบ้านเรือนอีกหลายร้อยหลังในพื้นที่อื่นๆ ของรัฐ
ก่อนหน้านี้รายงานข่าวในวันเสาร์ (13 ส.ค.) ระบุว่า หลายพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมลรัฐลุยเซียนา และตอนใต้ของมลรัฐมิสซิสซิปปี มีอันต้องจมอยู่ใต้น้ำที่เอ่อล้นจากแม่น้ำก่อนไหลเข้าท่วมบ้านเรือนและชุมชน จากผลพวงของฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องตั้งแต่วันศุกร์ (12 ส.ค.) ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ถนนหลายสายถูกตัดขาด
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 3 ราย ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มีชายคนหนึ่งในมลรัฐลุยเซียนาที่จมน้ำเสียชีวิตขณะ พยายามว่ายฝ่าน้ำท่วมใกล้กับเมืองเบตัน รูจที่เป็นเมืองเอกของมลรัฐ ขณะที่ประชาชนในรัฐแห่งนี้มากกว่า 7,500 คนต้องใช้ชีวิตในช่วงคืนวันศุกร์ (12) จนถึงเช้าวันเสาร์ (13) โดยไม่มีไฟฟ้าใช้
ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่า พื้นที่แถบ “อีสต์โคสต์” หรือชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ กลับต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนที่แผดเผา ด้วยอุณหภูมิที่พุ่งสูงแตะระดับ 43 องศาเซลเซียสทั้งในมหานครนิวยอร์ก ฟิลาเดลเฟีย และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นเหตุให้มีประชาชนกว่า 10 ล้านชีวิตได้รับผลกระทบ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ขณะที่ทางการท้องถิ่นของหลายมลรัฐแถบอีสต์โคสต์ ต่างออกคำเตือนเกี่ยวกับการเฝ้าระวังปัญหาด้านสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับผล พวงของสภาพอากาศที่ร้อนจัด โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กๆ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ตลอดจนการออกคำเตือนให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าหลบร้อนในตัวอาคารหรือที่ร่ม