จากกรณีที่ “ครม. มีมติเห็นชอบให้ขยายความครอบคลุม ในกรณีผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้ และไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ไม่ว่านายจ้างจะหยุดประกอบกิจการเอง หรือหยุดประกอบกิจการ ตามคำสั่งของทางราชการ ผู้ประกันตนมีสิทธิรับเงินกรณีว่างงาน 62% ของค่าจ้างรายวัน ไม่เกิน 90 วัน เช่นกัน” โดยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช เลขาธิการสมาพันธ์ SME ไทย และประธานสมาพันธ์ SME ไทย ส่วนภูมิภาค กล่าวว่า จากเหตุการณ์วิกฤตโควิด-19 หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะสำนักงานประสังคม กระทรวงแรงงาน ได้ออกมาตรการค่อยข้างดีและเยอะสำหรับการให้การช่วยเหลือและเยียวยา พร้อมทั้งยืนเคียงข้างทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับเรื่องสิทธิของผู้ประกันตนกับการรับเงินกรณีว่างงาน 62% กรณีนายจ้างหยุดประกอบกิจการเอง หรือหยุดประกอบกิจการ ตามคำสั่งของทางราชการ เพื่อประคับประคองการดำเนินชีวิตในช่วงระยะเวลา 3 เดือน หรือ 6 เดือน ซึ่งเป็นไปตามมติความเห็นชอบของ ครม.นั้น อาจมีผู้ประกันตนทั้งเห็นชอบและไม่เห็นชอบ โดยผู้ที่ไม่เห็นชอบผมคิดว่า อาจเป็นในกรณีที่สถานประกอบการหักเงินลูกจ้างเพื่อส่งเงินสมทบเข้าสำนักงานประกันสังคมที่มีมานานมากกว่า 5 ปี หรือ 10 ปี สมควรได้รับเงินกรณีว่างงานในขณะนี้ มากกว่าสถานประกอบการที่เพิ่งจะส่งเงินสมทบเข้าสำนักงานประกันสังคม นับเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจทุกฝ่าย เพราะเป็นสถานการณ์หรือวิกฤตการณ์สุดวิสัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากมายเช่นนี้ ผู้ประกอบการก็แย่ หากถึงขั้นปิดกิจการทุกอย่างจบหมดเลย แต่ถ้ายังสามารถประคองตัวไปได้ เหมือนร่างกายที่บอบช้ำ วันหนึ่งก็ฟื้นคืนตัว นั่นหมายถึง ทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างหรือแรงงานยังคงดำเนินต่อไปได้
“อย่างไรก็ตามขอให้ทุกฝ่ายมีความอดทน เราจะเรียนรู้การสู้วิกฤตเพื่อความอยู่รอดไปด้วยกัน จะว่าไปแล้วนายจ้างกับลูกจ้างก็เสมือนคนในครอบครัวกัน ควรเห็นอกเห็นใจกัน แล้วเชื่อว่าภาครัฐก็ไม่ได้ทอดทิ้งหรือนิ่งนอนใจ โดยเฉพาะมีการเตรียมงานประมาณช่วยเหลือและเยียวยา อย่างสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงาน ได้มีโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท แล้วท้ายที่สุดอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ฟังเสียงสะท้อนทั้งจากผู้ประกอบการและลูกจ้างแบบลงลึกรวมทั้งให้มากขึ้นด้วย”
ทางด้าน คุณกอล์ฟ ผู้ประกอบรายหนึ่ง กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่กดดันและบีบคั้นผู้ประกอบการมาก กรณีการจ่ายชดเชยค่าแรงในวิกฤตดังกล่าว ซึ่งสถานประกอบการไม่สามารถดำเนินธุรกิจใดๆได้เลย นับว่าเป็นเรื่องที่ลำบากมากอย่าว่าแต่เพียงจ่าย 62 % น้อยกว่านี้ก็แย่ สินค้าและบริการขายไม่ได้ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย จะอยู่กันไปได้นานแค่ไหน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ SME ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากต่อการทำความเข้าใจกับแรงงาน อยากให้หน่วยงานเข้ามาให้ความชัดเจน และเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยและลดช่องว่างระหว่างนายจ้างกับแรงงาน สร้างความเข้าใจในตัวบทกฎหมายแรงงาน ทั้งนี้บางคนที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบของแรงงาน อาจยังไม่ทราบว่า ตามกฎหมายแรงงานผู้ประกอบการไม่สามารถส่งเงินประกันตนได้เหมือนกับแรงงานที่ดูแล ต้องออกค่าประกันตนให้กับแรงงานคนละครึ่ง
“ในขณะนี้ได้พยายามประคับประคองทั้งสถานประกอบการทั้งแรงงานให้อยู่รอดได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างเวลานี้รับภาระในเรื่องการช่วยค่าอาหารของแรงงานทั้ง 3 มื้อ ก็อยากให้สำนักงานประกันสังคมเข้ามาเยียวยาผู้ประกอบการที่กำลังบอบช้ำอย่างทั่วถึง ซึ่งทราบว่าได้ออกมาตราการดำเนินการช่วยเหลือและเยียวยาแล้ว อยากให้กำลังใจทุก ๆ ฝ่าย ซึ่งเราจะต้องฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน หากไม่มีผู้ประกอบการและแรงงาน เศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ได้อย่างไร”
ฝ่าย คุณณภัค เอี่ยมอาจิณ พนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ในฐานะแรงงานตอนนี้เปรียบเสมือนนั่งเรืออยู่ท่ามกลางลมมรสุม โดยมีนายจ้างเป็นคนบังคับเรือ เชื่อว่า การมีสติจะทำให้เราไม่หวั่นไหว ไม่ตกใจ เราต้องเป็นกำลังใจให้นายจ้าง เราอาจโชคดีกว่าหลายคนที่เราอยู่กันมานานเสมือนครอบครัวใหญ่ จึงมีความเห็นอกเห็นใจกัน พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้นายจ้างสามารถบังคับเรือฝ่ามรสุมไปให้ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย แม้จะยังไม่ทราบระยะทางหรือระยะเวลาก็ตามที
“ถามว่ามีผลกระทบต่อตนเองมั้ย มีแน่นอน ตอนนี้เงินถูกลดลงไปบางส่วนและตามสัดส่วนฐานเงินเดือนของพนักงานอย่างเหมาะสม ในเรื่องของการทำงานก็มีทั้งทำใที่บ้านและที่ทำงาน สลับวันกันไป ทำให้ประหยัดค่ารถและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ลดไป ขณะเดียวกันต้องทำใจหากว่า บริษัทไม่สามารถต้านวิกฤตโควิด-19 ได้ ทำให้ต้องหยุดหรือปิดกิจการก็ต้องว่ากันไปตามตัวบทกฎหมายแรงงาน ที่ผ่านมาตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่บริษัทปิดมาแล้วถึง 2 บริษัท โดยได้รับเงินชดเชยจากสำนักงานประกันสังคมอย่างครบถ้วน จาก
สถานการณ์ในครั้งนี้หากต้องได้รับเงินเพียงแค่ 62 % ตามมติ ครม. ตนเองก็ยินดี ถึงแม้ว่าจะทำประกันตนมานานหลายปี อย่างไรก็ดีถ้าเราฟื้นบริษัทตายเราก็แย่ แต่ถ้าหากเราฟื้นและบริษัทฟื้น เราก็รอด ซึ่งผลกระทบในครั้งนี้อยู่นอกเหนือเหตุปัจจัยทั่วไป ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เชื่อว่ากระทรวงแรงงานก็ไม่ทอดทิ้งทั้งผู้ประกอบการและแรงงานอย่างแน่นอน ขอให้ทุกคนมีสติและใจเย็น ๆ”