รัฐบาลสหรัฐฯ เห็นชอบขายอาวุธยุทโธปกรณ์ล็อตใหญ่แก่ซาอุดีอาระเบีย รวมมูลค่ากว่า 1,150 ล้านดอลลาร์ (หรือราว 40,095 ล้านบาท) ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงรถถังแบบ “Abrams” จำนวนมากกว่า 130 คัน
รายงานข่าวระบุว่า สำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงทางกลาโหม ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดเพนตากอน (กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) ได้แจ้งต่อสภาคองเกรทและยืนยัน การขายอาวุธยุทโธปกรณ์ล็อตใหญ่แก่ซาอุดีอาระเบียรวมมูลค่ากว่า 1,150 ล้านดอลลาร์ (หรือราว 40,095 ล้านบาท) ในครั้งนี้ ได้รับ “ไฟเขียว” จากทางกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แล้วเช่นเดียวกัน
ตามขั้นตอนทางกฎหมาย ทางเพนตากอนจะสามารถเดินหน้าข้อตกลงนี้กับทางการซาอุดีอาระเบียได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสภาคองเกรส ซึ่งยังคงเป็นเพียงองค์กรแห่งเดียวที่มีอำนาจในการล้มข้อตกลงขายอาวุธครั้งนี้
คำแถลงของสำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงทางกลาโหมระบุว่า อาวุธ ยุทโธปกรณ์ล็อตนี้จะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพของกองทัพบกซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ความพยายามของรัฐบาลอเมริกันในการเดินหน้าผลักดันข้อตกลงขายอาวุธให้แก่ซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ถูกคัดค้านจากบรรดากลุ่มเคลื่อนไหวด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มที่มีความกังวลว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ “เมด อิน ยูเอสเอ” เหล่านี้จะถูกทางการซาอุดีอาระเบียนำไปใช้ในการแทรกแซงทางทหารต่อชาติเพื่อนบ้านอย่างเยเมน
ทั้งนี้ รัฐบาลซาอุดีอาระเบียและชาติพันธมิตรอาหรับฝ่ายมุสลิมสุหนี่ แถบอ่าวเปอร์เซียได้เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ และเข้าแทรกแซงทางทหารต่อเยเมนตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว เพื่อสกัดการรุกคืบของฝ่ายกบฏฮูตี ที่เป็นพวกมุสลิมชีอะห์และมีอิหร่านหนุนหลัง โดยซาอุฯ หวังจะช่วยนำอดีตประธานาธิบดี อับด์ ราบบูห์ มันซูร์ ฮาดีแห่งเยเมนที่มีจุดยืนฝักใฝ่ซาอุฯ กลับเข้าครองอำนาจในเยเมนให้ได้อีกครั้ง หลังจากที่ฮาดีต้องหลบหนีออกนอกประเทศเพราะถูกฝ่ายกบฏฮูตีรุกไล่อย่างหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ และการเข้าแทรกแซงทางทหารต่อเยเมนของซาอุดีอาระเบียนั้นสร้างความสูญเสียใหญ่หลวงต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนในเยเมน และเข้าข่ายเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ