โดยวันนี้ ที่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำ และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในลุ่มน้ำภาคกลาง พร้อมให้นโยบายด้านการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร แก่กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกรมพัฒนาที่ดิน ณ ห้องห้องประชุมป่าสักธารา โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
จากนั้นได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์กรมฝนหลวงและการบินเกษตรสำรวจพื้นที่ได้รับผลกระทบจาก ภัยแล้งและสถานการณ์น้ำก่อนจะเดินทางไปยังสมาคมชาวไร่อ้อยเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
โดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ ค่อนข้างรุนแรงกว่าในหลายปีที่ผ่านมา โดยจากข้อมูลปริมาณน้ำต้นทุนของ 4 เขื่อนหลัก ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พบว่า มีปริมาณน้ำใช้การต้นฤดูแล้งรวม 4 เขื่อนหลัก ปี 2562 จำนวน 5,377 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งต่ำเป็นอันดับ 2 ในรอบ 20 ปี (จากปี 2558 มีปริมาณน้ำใช้การต้นฤดูแล้ง จำนวน 4,247 ล้าน ลบ.ม.) และมีปริมาณน้อยกว่าปี 2561 จาก 12,840 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากความผันแปรของสภาพอากาศ สภาพการใช้ที่ดินเปลี่ยนไป ขาดแคลนแหล่งเก็บกักน้ำ และความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น กระทรวงเกษตรฯ จึงมีแผนการบริหารจัดการน้ำ โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯที่เกี่ยวข้องอาทิ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกันบริหารจัดการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ให้พี่น้องเกษตรกรและประชาชนมีน้ำ สำหรับทำการเกษตร และอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ
ส่วนด้านการเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักสำหรับใช้ทางการเกษตร ได้มอบหมายให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เร่งดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ำให้กับ 4 เขื่อนหลัก รวมถึงช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ต้องการฝนและน้ำสำหรับทำการเกษตร ซึ่งมีการเตรียมแผนปฏิบัติการฝนหลวง ประจำปี 2563 ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ นี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้ดำเนินการตามมาตรการของกรมชลประทานในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง โดยจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน ตามลำดับความสำคัญของกิจกรรมการใช้น้ำ ได้แก่ 1. จัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้ง 2. จัดสรรน้ำเพื่อการรักษาระบบนิเวศในช่วงฤดูแล้ง 3. สำรองน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในช่วงต้นฤดูฝน (เพื่ออุปโภค-บริโภคและรักษาระบบนิเวศเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม) 4.จัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรกรรม และ 5. จัดสรรน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม พร้อมทั้งสั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ติดตามเตรียมความพร้อมในการขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง ประสานความร่วมมือและข้อมูลจากทุกส่วน ทั้งด้านน้ำเพื่อการเกษตรของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะน้ำอุปโภคบริโภคของพี่น้องประชาชนและน้ำในแหล่งเก็บกักต่างๆ
ใจรัก วงศ์ใหญ่ สมชาย เกตุฉาย
ศูนย์ข่าวหนังสือพิมพ์ 5 เหล่าทัพ
จังหวัดลพบุรี