วันที่ 19 พ.ย.62 นางน้ำอ้อย แก้วประไพ อายุ 50 ปี หรือ ต้อย อยู่บ้านเลขที่ 23/3 ม.3 ต.ท่าข้าม อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี ได้ฝากแจ้งเตือนภัยมายังผู้สื่อข่าวว่า ให้ระวังแก๊งมิจฉาชีพสวมรอยอ้างลูกชายขี่รถไปชนคนบาดเจ็บ เร่งให้โอนเงิน โดยครอบครัวของตนอยู่ด้วยกัน 3 คน มีตนและสามีคือ นายเอกวุฒิ แก้วประไพ อายุ 52 ปี และมีลูกชายเพียงคนเดียวคือ น้องบาส (นามสมมติ) อายุ 18 ปี กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี โดยในเช้าวันนี้ ลูกชายของตนได้ขี่รถ จยย.ไปเรียนตามปกติ ต่อมาในเวลา 9.00 น. ตนกำลังซักผ้าอยู่ก็มีโทรศัพท์จากชายคนหนึ่งโทรมาถามว่า “ใช่ต้อยหรือเปล่า” ตนก็ตอบว่า “ใช่ นั่นใคร” แต่เสียงที่ตอบมานั้นฟังไม่รู้เรื่อง ตนจึงยื่นโทรศัพท์ให้สามีของตนคือ นายเอกวุฒิ คุย
นายเอกวุฒิ เล่าว่า ปลายสายที่คุยด้วยบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในที่เกิดเหตุแจ้งว่า “ลูกชายของคุณขี่รถย้อนศรแล้วไปชนเด็กขาหัก คุณคุยกับพ่อของเด็กที่โดนชนเลยเรื่องจะได้จบ ผมจะได้ปล่อยลูกคุณกลับ” แล้วก็เปลี่ยนคนคุยซึ่งบอกว่าเป็นพ่อของเด็กที่โดนชน “ว่าไงคุณ ผมขอ 30,000 บาท จะได้จบตรงนี้ ผมจะได้ปล่อยลูกคุณกลับ” ตนก็ถามว่า “อยู่ตรงไหน ผมจะได้ไปหาลูกของผม ลูกของผมเป็นยังไงบ้าง” ทางปลายสายตอบว่า “ลูกคุณไม่เป็นอะไรมาก แค่จุกๆ” ตนก็บอกว่า “ขอคุยกับลูกของผมก่อน” และก็มีคนมาคุยเสียงเหมือนลูกผมมาก ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วย “พ่อมาดูหนูหน่อย หนูเจ็บมากเลย หนูย้อนศรมาชนเขา หนูผิด” คนที่โทรมาบอกว่าเป็นลูกของตนเสียงเหมือนลูกตนมากเลย ตอนนั้นตนมัวตกใจเลยไม่ได้คิดอะไร ทางคุณต้อย ก็เอาแต่ร้องไห้ด้วยความตกใจและเป็นห่วงลูก และขอสายไปคุยกับลูก เด็กคนนั้นที่อ้างตัวเป็นลูกก็บอกมาว่า “แม่ช่วยหนูหน่อย หนูชนเขา หนูไม่อยากติดคุก เขาบอกว่าเขาจะเอาตำรวจจับหนูติดคุก” คุณต้อยก็ตอบไปว่า “ไม่ต้องกลัวแม่กำลังจะไปหาแล้ว” แล้วก็ส่งโทรศัพท์ให้กับตนคุยต่อ
คนที่อ้างว่าเป็นพ่อของเด็กที่ถูกชนก็บอกว่า “ลูกของคุณจะเดือดร้อนและถ้าคุณไม่รีบมาจะแจ้งความ คุณโอนเงินมา 15,000 ก่อนได้ไหม เมียผมจะรีบไปดูอาการลูกที่โดนรถชน เมียผมไม่มีเงินเลย ต้องการเงินด่วนตอนนี้” ตนบอกว่า “ผมมีแต่ผมโอนไม่ได้เดี๋ยวผมขับรถไปหา อยู่ตรงไหน” ทางปลายสายก็พูดวกไปวนมา ใจของตนคิดว่าที่ไม่โอนเงินให้เพราะรถ จยย. ของลูกตนมีประกัน ทางอีกฝ่ายก็พยายามโทรมาบอกว่า “ให้ตรงมาตรงตลาดสดที่อ่างทองเลย” และคอยถามตลอดว่าตนเอาเงินมาไหม ตนก็บอกว่าเตรียมมาหมดแล้ว ตนเลยนึกเอะใจเลยบอกไปว่า “ถาม ลูกชายผมซิว่าผมชื่ออะไร” เพียงเท่านี้ทางปลายสายก็ตัดสายทิ้งไปทันที ตนเลยบอกให้คุณต้อยโทรไปหาลูกชายว่าอยู่ที่ไหน ปรากฏว่าลูกชายรับแล้วบอกว่าอยู่ในโรงเรียนไม่ได้ไปไหน เพื่อความมั่นใจตนกับภรรยาเลยขับรถไปดูลูกที่โรงเรียน เมื่อเห็นลูกชาย จึงมั่นใจว่าเกือบหลงกลโดนมิจฉาชีพหลอกเสียแล้ว จึงอยากฝากเตือนประชาชนให้ระวังอย่าไปหลงเชื่อแก๊งมิจฉาชีพที่มีพฤติกรรมแบบนี้ บางครั้งคนที่เป็นพ่อแม่ไม่ได้เอะใจ ด้วยความรักลูกก็อาจจะรีบโอนเงินให้ทันที ถ้าใครที่เจอเหตุการณ์เหล่านี้ขอให้ระวังและโทรศัพท์สายตรงไปหาคนที่ถูกอ้างถึงทันที
กชกร พวยไพบูลย์
ผู้สื่อข่าว จ.สิงห์บุรี