ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรีย ยืนยัน จะเดินหน้า “นิรโทษกรรม” แก่บรรดาสมาชิกกลุ่มติดอาวุธฝ่ายกบฏทุกราย ที่ยอมวางอาวุธ เปิดช่องทางหวนกลับไปใช้ชีวิตพลเรือนอย่างปกติสุข พร้อมย้ำ ชัยชนะในสงครามกลางเมืองต้องเป็นของประเทศชาติและประชาชน มิใช่ของรัฐบาลซีเรีย
ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรีย ยืนยันเรื่องดังกล่าว ระหว่างการเปิดใจให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสถานีโทรทัศน์ “ITV” ของกรีซในวันพุธ (27 ก.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งมีการนำมาเผยแพร่ต่ออีกทอดหนึ่งผ่านทางสำนักข่าว “ซานา” ของทางการซีเรีย
“ถ้าพวกเขาซึ่งหลงผิดไปเข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้าย ต้องการกลับมาใช้ชีวิตพลเรือนอย่างปกติสุข พวกเขาก็ต้องวางอาวุธ และเมื่อนั้นพวกเขาก็จะได้รับการนิรโทษกรรมจากรัฐบาล นี่เป็นสิ่งที่เราเน้นย้ำและมุ่งมั่นมาตลอดหลายปี ผมขอย้ำว่าชัยชนะในสงครามนี้ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลซีเรียให้ความสำคัญ ผู้ที่สมควรได้รับชัยชนะมากที่สุดในสงครามกลางเมืองนี้ สมควรจะเป็นประชาชนและประเทศชาติมากกว่า ” อัสซาดกล่าว ผ่านสื่อทีวีช่องดังของกรีซ
ก่อนหน้านี้ผู้นำซีเรีย ในวัย 50 ปี ซึ่งสำเร็จการศึกษาด้านแพทยศาสตร์ และได้ก้าวขึ้นปกครองประเทศภายหลังการเสียชีวิตของบิดาเมื่อปี 2000 เผยระหว่างการให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “เปรนซา ลาตินา” ของทางการคิวบา ที่มีการนำเทปสัมภาษณ์มาเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยผู้นำซีเรียระบุมี “ผู้ก่อการร้าย” มากกว่า 5,000 คนเดินทางเข้าสู่เมืองอะเลปโปทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียผ่านทางตุรกี ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรียระบุว่า รัฐบาลตุรกีรวมถึงพันธมิตรอย่างกาตาร์และซาอุดีอาระเบียอยู่เบื้องหลังความ เคลื่อนไหว ในการจัดส่งบรรดาผู้ก่อการร้ายหัวสุดโต่งเหล่านี้เข้าสู่เมืองอะเลปโป ที่ถือเป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายสำหรับกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นปฏิปักษ์กับ รัฐบาลซีเรีย
ผู้นำซีเรียยังระบุด้วยว่า เขามีหลักฐานมากมาย ที่สามารถยืนยันได้ว่า มีนักรบชาวต่างชาติมากกว่า 100 สัญชาติ ถูกส่งให้เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามกลางเมืองซีเรียที่ปะทุขึ้นนับ ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 เป็นต้นมา และส่วนใหญ่เป็นกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งตุรกี กาตาร์ และซาอุดีอาระเบีย ภายใต้การชักใยอยู่เบื้องหลังของประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร
ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีอัสซาดยอมรับว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซียที่เปิดฉากขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว มีส่วนสำคัญยิ่งในการช่วยเปิดทางให้กองทัพรัฐบาลซีเรียและพันธมิตร สามารถกลับมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการทำสงครามกับเหล่าผู้ก่อการร้ายหัวสุดโต่ง
อัสซาดยังยืนยันว่า รัฐบาลของเขาเป็นฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือในการโจมตีทางอากาศนี้จากมอสโก ซึ่งสวนทางกับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรียของสหรัฐฯและชาติพันธมิตรตะวันตก ที่ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2014 โดยปราศจากความเห็นชอบของรัฐบาลซีเรีย และไม่ผ่านการรับรองใดๆ จากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
ที่ผ่านมา กลุ่มนักรบหัวสุดโต่งที่รัฐบาลซีเรียตราหน้าว่าเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” ที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติให้เข้ามาต่อสู้ในสงครามกลางเมืองซีเรียนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส), แนวร่วม อัล-นุสราที่มีสายสัมพันธ์กับเครือข่ายอัลกออิดะห์ และกลุ่มก่อการร้ายญะอิช อัล-อิสลาม
ก่อนหน้านี้ สตัฟฟาน เด มิสตูรา ทูตพิเศษด้านซีเรียขององค์การสหประชาชาติออกโรงคาดการณ์ว่า สงครามกลางเมืองซีเรียที่ปะทุขึ้น นับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 เป็นต้นมาได้คร่าชีวิตผู้คนในประเทศนี้ไปแล้ว “มากกว่า 400,000 ราย” และผลักดันให้เกิดคลื่นผู้อพยพอีกหลายล้านคน
“อัสซาด” ประกาศชัด พร้อม “นิรโทษกรรมกบฏซีเรีย” หากวางอาวุธ ยันปชช.สมควรเป็นผู้ชนะในสงครามกลางเมือง