วันนี้ วันพุธที่ 6 พ.ย.62 เวลา 10.30 น.ณ ห้องประชุมมหาเมฆ ชั้น 4 อาคาร 1 สตม.(สวนพลู) สาธร กทม. : พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รองผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1,พ.ต.อ.เจนกมล คำนวล รองผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.ชัชวาลย์ ทิพย์พิชัย ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวน ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายตามหมายจับ ดังนี้
คดีที่ 1 ตม.1 รวบสาวไทยเครือข่ายแก๊งหลอกลวงทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินข้ามชาติ
พล.ต.ต.ปิติฯ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้ร่วมกันวางแผนจับกุม สาวไทยเครือข่ายแก๊งค์หลอกลวงทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินข้ามชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งค์หลอกลวง ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1592/2562 ลงวันที่ 24 ต.ค.62 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น,ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ผู้ที่ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระสินค้าค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสด”
พล.ต.ต.ปิติฯ กล่าวอีกว่า การจับกุมในคดีนี้เกิดจากการสืบสวนและประสานข้อมูลของเจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 และสน.พญาไท ทำให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.62 ผู้เสียหายได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เป็นการแจ้งเตือนว่า ข้อมูลธนาคาร หรือแอพพลิเคชั่นธนาคารของท่านถูกเข้าใช้งาน หากท่านไม่ได้เข้าใช้งานให้ทำการเปลี่ยนรหัสผ่าน โดยกดลิ้งแอดเดรสที่แนบมา พร้อมกรอกข้อมูล เลขบัตรเดบิต รหัสผ่านสำหรับกดเงินสด (Password) เลขบัตรประชาชน 13 หลัก และรหัสลับการทำธุรกรรม (OTP)
จากนั้นผู้เสียหายได้เข้าใช้งานแอพพลิเคชั่นอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง แล้วตรวจสอบพบว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีผู้เสียหายไปยังบัญชีธนาคารอื่น 5 บัญชี รวมมูลค่าความเสียหาย 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกกลุ่มคนร้ายหลอกลวงเอาข้อมูลธนาคารไปใช้ และได้ไปซึ่งทรัพย์สินโดยทุจริต จากการตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเงิน พบหลักฐานการโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหายไปยังบัญชีธนาคารของกลุ่มคนร้ายจำนวน 6 ราย โดยเงินที่ถูกโอนจากบัญชีของผู้เสียหายจำนวน 1,000,000 บาท ได้พบว่าถูกกดถอนออกจากบัญชีที่ประเทศมาเลเซีย และยังได้ตรวจสอบพบอีกว่า ข้อมูลการทำธุรกรรมการโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายดังกล่าวดำเนินการผ่านระบบออนไลน์โดยมีที่อยู่ตนทาง (IP Address) ที่ประเทศมาเลเซีย
โดยคดีนี้ ผู้ต้องหาที่ 6 เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่รับโอนเงินจากผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 180,000 บาท ผ่านระบบ Internet Banking และเงินจำนวนนี้ถูกกดออกจากบัญชีที่ประเทศมาเลเซีย โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมสมาชิกแก๊งค์นี้ได้แล้ว จำนวน 3 ราย และออกหมายจับไว้แล้วอีก 3 ราย ต่อมาจากการประสานและตรวจสอบข้อมูลทำให้ทราบว่า ผู้ต้องหาที่ 6 สาวไทยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งค์หลอกลวงทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินข้ามชาติเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ยังไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี ได้หลบเข้ามาพักอาศัยอยู่ที่ชุมชนเทพทวี ซอย 8 ถนนลาดพร้าว 101 แยก 42 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้วางแผน ออกสืบสวน หาข่าว และแฝงตัวเข้าตรวจสอบบริเวณที่พักดังกล่าว จนแน่ชัดพบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันตามหมายจับ จึงได้แสดงตัวและเข้าทำการจับกุมตัวผู้ต้องที่ 6 ได้สำเร็จ แล้วได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 6 ให้พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ต.ปิติฯ ขอให้ประชาชนทั่วไปได้โปรดพึงระมัดระวังในการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบออนไลน์ช่องทางต่างๆในปัจจุบันซึ่งมีอยู่หลากหลายวิธี ในปัจจุบันกลุ่มอาชญากรได้อาศัยช่องโหว่ของช่องทางเหล่านี้สร้างวิธีการหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนโดยมีการกระทำผิดในลักษณะเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ มีความเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย กระทำการผ่านขั้นตอนทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ยากต่อการตรวจสอบ ติดตามจับกุม แต่การหลอกลวงด้วยวิธีการเหล่านี้จะไม่สำเร็จได้เลยหากผู้ทำธุรกรรมออนไลน์มีความละเอีดรอบคอบและระมัดระวัง
ส่วนคดีที่ 2 ตม.1 จับหนุ่มต่างด้าวหล่อล่ำลักลอบทำงานนวดสปาหาลูกค้าออนไลน์ แฝงมั่วสุมเซ็กส์และเสพยา
พ.ต.อ.ชัชวาลย์ฯ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้สืบทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลว่ามีร้านนวดสปาสำหรับผู้ชาย ตั้งอยู่บริเวณซอยสวนพลู ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพฯ เปิดให้บริการกับบุคคลทั่วไปและมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลหลายช่องทาง โดยทางร้านได้มีการเปิดเว็ปไซด์เพื่อบอกที่ตั้งร้าน หมายเลขโทรศัพท์ PR ประจำร้าน เพื่อนัดหมายเวลาเข้าไปใช้บริการ โดยมีการโฆษณาบริการของทางร้าน และมีการลงรูปซึ่งอ้างว่า เป็นพนักงานนวดของทางร้านกว่า 60 คน ภาพถ่ายพนักงานส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อ เผยสรีระท่อนบนทั้งหมด และพนักงานนวดบางคนสวมกางเกงในเพียงตัวเดียว
ซึ่งจากการสังเกตุของเจ้าหน้าที่เห็นว่าพนักงานบางคนมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายคนต่างด้าว เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้จัดกำลังแฝงตัวเข้าไปสืบสวนหาข่าว จนทราบว่าร้านนวดสปาดังกล่าวใช้พนักงานนวดทั้งหมดเป็นผู้ชาย ทั้งคนไทย และคนต่างด้าว ทุกคนผ่านการคัดเลือกว่าต้องรูปร่างและหน้าตาดีเพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้าให้สนใจมาใช้บริการ ส่วนการให้บริการนวดสปาให้บริการทั้งลูกค้าชายและหญิง ในห้องนวดที่หรูหราและเป็นส่วนตัว
พ.ต.อ.ชัชวาลย์ฯ กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบร้านนวดสปาดังกล่าว พบว่า บริเวณภายนอกอาคารมีการจัดทำสวนหย่อม น้ำพุ สถานที่ออกกำลังกาย และที่สำหรับพักรอของลูกค้าที่มาใช้บริการ ส่วนภายในอาคารจะพบกับบาร์ และพื้นที่สำหรับนั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม และมีห้องกระจกสูงยาวต่อไปถึงชั้น 2 ของอาคาร ภายในห้องกระจกมีพนักงานนวดชายกว่า 20 คน ส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อนั่งรอให้ลูกค้าเรียกเพื่อไปให้บริการนวด และมีการแยกห้องนวดเป็นห้องเล็กมากกว่า 20 ห้อง จากการตรวจสอบพบพนักงานที่เป็นคนต่างด้าวและคนไทยที่กระทำความผิด จำนวน 9 ราย ในความผิดดังต่อไปนี้
ผู้ถูกจับที่ 1 สัญชาติเมียนมา ข้อหา “เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต”
ผู้ถูกจับที่ 2–4 สัญชาติเมียนมา ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิจะทำได้”
ผู้ถูกจับที่ 5 สัญชาติเมียนมา และผู้ต้องหาที่ 6 สัญชาติกัมพูชา “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต”
ผู้ถูกจับที่ 7–9 (คนไทย) “เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)”
นอกจากนี้ภายในร้านสปาดังกล่าว ยังพบว่ามีการขายถุงยางอนามัย และสารหล่อลื่น ไว้ให้บริการกับลูกค้าที่มาใช้บริการด้วย ภายหลังการแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิของผู้ต้องหาให้ผู้ถูกจับ ทั้ง 9 ราย ทราบ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ถูกจับที่ 1–6 ส่งพนักงานสอบสวน บก.สส.สตม.และนำผู้ถูกจับที่ 7–9 ส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.ชัชวาลย์ฯ ขอฝากประชาสัมพันธ์ให้ท่านว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน