วันนี้ วันศุกร์ที่ 4 ต.ค.62 เวลา 09.45 น. ณ ห้องประชุมมหาเมฆ ชั้น 4 อาคาร 1 สตม.(สวนพลู) สาธร กทม. : พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วยพล.ต.ต.พรชัย ขันตี,พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย,พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์, พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รองผบช.สตม.,พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.วิญญู อำนวยสมบัติ รองผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี ผกก.2 บก.สส.สตม. ได้ดำเนินการกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ และบังคับใช้กฎหมายสำหรับคนต่างด้าวที่ลักลอบอยู่ในราชอาณาจักรผิดกฎหมาย โดยมีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม โดยแถลงข่าว 2 คดีคือ ปิดตำนานหนุ่มใหญ่แดนกิมจิ หนีหมายจับซุกไทยนาน 25 ปี แอบลักลอบอยู่เมืองไทยผิดกฎหมาย OVERSTAY นาน 20 ปี 20 วัน และรวบหนุ่มเกาหลีใต้ หลอกเหยื่อเป็นผู้บริหารกองทุนมูลค่าสองหมื่นล้านวอน ร่วมลงทุนตลาดซื้อขายล่วงหน้า ระยะแรกได้ผลตอบแทน จากนั้นเชิดเงินหนี มากบดานเงียบที่ประเทศไทย เหยื่อ 89 ราย สูญเงินกว่า 500 ล้านบาท
พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่บก.สส.สตม ปิดตำนานหนุ่มใหญ่แดนกิมจิ หนีหมายจับซุกไทยนาน 25 ปี แอบลักลอบอยู่เมืองไทยผิดกฎหมาย OVERSTAY นาน 20 ปี 20 วัน โดยพล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.วิญญู อำนวยสมบัติ รอง ผบก.สส.สตม. ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี ผกก.2 บก.สส.สตม. นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบร้านอาหารแห่งหนึ่งย่าน จ.ปทุมธานี เนื่องจากสืบทราบว่า นายหย่าง อายุ 58 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการเกาหลีใต้ มักจะแวะเวียนเข้ามาที่ร้านอาหารดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้วางกำลังเฝ้าซุ่มสังเกตการณ์ จนกระทั่งพบชายคนหนึ่งลักษณะคล้ายชาวเกาหลีใต้ ใบหน้าคล้ายกับบุคคลที่ ทาง กก.2 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบหาตัว
จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง แต่นายหย่าง พยายามบ่ายเบี่ยงในการแสดงตน เจ้าหน้าที่ก็ยังยืนยันที่จะขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง จากนั้นผู้ถูกจับจึงสารภาพว่าตนเป็นบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ ชื่อ หย่าง อายุ 58 ปี เดินทางเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ก.ย.2537 ห้วงแรกได้อยู่ในประเทศไทยอย่างถูกต้องจนวันที่ 20 มิ.ย.2542 ด้วยเหตุที่หนังสือเดินทางหมดอายุ ตนจึงไม่สามารถไปต่อหนังสือเดินทางได้ ทำให้วีซ่าที่ตนมีหมดอายุตั้งแต่ 20 มิ.ย.2542 เป็นต้นมา จึงได้จับกุมตัวในข้อหา “อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” เป็นเวลา 20 ปี 20 วัน และจากการประสานงานไปยังตำรวจสาธารณรัฐเกาหลี ทราบว่า นายหย่าง มีหมายจับทางการเกาหลีใต้ ในข้อหา ปลอมเช็ค ปลอมเอกสารประจำตัว อีกทั้งมีประวัติการกระทำความผิด
กล่าวคือ หลบหนีการเกณฑ์ทหารและหลีกเลี่ยงการฝึกทหาร ซึ่งแม้ว่าการกระทำความผิดเกิดในช่วงปี 2537 แต่สำหรับกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลีนั้น หากผู้ใดได้กระทำความผิดแล้ว ได้เดินทางออกนอกประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินคดี การลงโทษ อายุความ การดำเนินคดีจะสะดุดหยุดลง ทำให้หมายจับของสาธารณรัฐเกาหลียังมีผลทางกฎหมาย แม้ว่าเวลาได้ผ่านไปถึง 25 ปีแล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ต่อไป
ส่วนรายที่ 2 หนุ่มเกาหลีใต้ หลอกเหยื่อเป็นผู้บริหารกองทุนมูลค่าสองหมื่นล้านวอน ร่วมลงทุนตลาดซื้อขายล่วงหน้า ระยะแรกได้ผลตอบแทน จากนั้นเชิดเงินหนี มากบดานเงียบที่ประเทศไทย เหยื่อ 89 ราย สูญเงินกว่า 500 ล้านบาท
พ.ต.อ.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี ผกก.2 บก.สส.สตม. สั่งการให้ชุดสืบสวนดำเนินการติดตามตัวคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพวกอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งก่อเหตุ ณ ประเทศหนึ่งแล้วเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากเป็นบุคคลต่างด้าวกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะก่อเหตุซ้ำในประเทศไทย ชุดสืบสวน กก.2 บก.สส.สตม.จึงได้ออกติดตามตัว นายยูน อายุ 36 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นบุคคลที่ทางการเกาหลีใต้ออกหมายจับไว้ในความผิดฐานฉ้อโกง และตำรวจสากล INTERPOL ได้ออกเอกสาร RED NOTICES แจ้งพฤติกรรมการกระทำความผิดไว้ โดยมีพฤติการณ์ดังนี้
คนร้ายได้หลอกเหยื่อ โดยโกหกว่า มีบริษัทซึ่งมีทุนสองหมื่นล้านวอน ซึ่งลงทุนในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Future Market) ในสินค้าประเภททอง เงินตราออสเตรเลีย และน้ำมันดิบ ต้องการผู้ร่วมลงทุนโดยการันตีผลตอบแทนแม้ว่าบริษัทฯ จะขาดทุนในการลงทุน เพราะเงินที่เหยื่อลงทุนนั้นเป็นลักษณะการฝากเงิน มีผลตอบแทน 1-3 เปอร์เซ็นต์ โดยลูกค้าจะไม่มีวันสูญเสียเงินลงทุนเลยเพราะเป็นลักษณะการการันตีเงินทุน อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงคือ คนร้ายไม่ได้มีกองทุนที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เป็นแค่กล่าวอ้างสร้างความน่าเชื่อถือ มูลค่าความเสียหายในคดีประมาณ 500 ล้านบาท จากเหยื่อ 89 ราย โดยเหยื่อได้ร่วมลงทุนรวมแล้วประมาณ 700 ครั้ง เหตุเกิดช่วงปี 2552 ถึง 2559
จากนั้นคนร้ายได้เดินทางออกจากประเทศเกาหลีใต้มายังประเทศไทย เพื่อหลบหนีคดี เจ้าหน้าที่สืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนจากบ้านพักหลายหลังที่ประเทศไทยของคนร้าย เนื่องจากคนร้ายได้ย้ายที่อยู่หลายแหล่ง เพื่อป้องกันการติดตามของเจ้าหน้าที่ และแต่ละที่ที่คนร้ายพักอาศัยพบว่า จะไม่มีใครเคยเห็นหน้าคนร้ายมากนัก เนื่องจากคนร้ายรายนี้อาศัยอยู่ในที่พักแต่ละแห่ง ในลักษณะเก็บตัวไม่ออกไปไหนมาไหน
เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนทางเทคนิคจนทราบว่า คนร้ายพักอยู่ที่ใด จากนั้นได้นำกำลังเจ้าหน้าที่สืบสวน สตม. เข้าตรวจสอบห้องพักหรูแห่งหนึ่ง ชั้น 36 ริมทะเล ภายในซอยนาเกลือ 16 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พบตัว นายยูน สัญชาติเกาหลีใต้ เจ้าตัวรับสารภาพว่าได้ลักลอบอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดีในข้อหา “อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” 2 ปี 6 เดือน นำส่ง สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย จากนั้นจะทำการผลักดันออกนอกราชอาณาจักรและบันทึกรายชื่อเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักร (Blacklist) ต่อไป
พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม. ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ชาวเกาหลีใต้ทั้งสองราย ถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ รูปแบบคือกระทำความผิดจากประเทศหนึ่ง แล้วหลบหนีมาซ่อนตัวในประเทศไทย และอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย เป็นภัยเงียบของประเทศไทย เนื่องจากบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่จะกระความผิดซ้ำอีก จึงอาจจะส่งผลกระทบต่อสังคมไทย และพี่น้องประชาชนชาวไทยอาจจะได้รับความเดือดร้อนจากอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบนี้
พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ ฝากประชาสัมพันธ์หากประชาชนพบเห็นการกระทำผิดของคนต่างด้าว หรือคนต่างด้าวที่อยู่ใประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสมาได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน