เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีต รมว.พลังงาน ประธานกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน
กล่าวว่า ปัจจุบันมีการนำเสนอข้อมูล ข่าวสารด้านพลังงานในสื่อต่างๆ โดยเฉพาะโซเชี่ยลมีเดีย
ทำให้เกิดเป็นกระแสสังคมบิดเบือนเรื่องโครงสร้างราคาพลังงานตามต้นทุนที่แท้จริง ทำให้เกรงว่า
ที่สุดแล้วคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะปรับโครงสร้างพลังงาน ตามกระแสสังคมบีบบังคับ
ให้ใช้นโยบายพลังงานไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่ระยะแรกอาจจะดี
ต่อประชาชนแต่ระยะยาวจะสร้างปัญหาใหญ่จนถึงขั้นอาจทำให้เศรษฐกิจล่มสลาย
ทางกลุ่มขอเสนอให้ คสช.ใช้ข้อมูลแนวทางปฏิรูปพลังงานของกลุ่ม จำนวน 3 ข้อ อาทิ
ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน เพิ่มการแข่งขันอย่างเป็นธรรมโดยลดการผูกขาดเพื่อพิจารณา
ปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีบางกลุ่มออกมาเสนอแนวคิดเช่นกัน
บทบาทเน้นไปที่การจับตา แต่ของกลุ่มปฏิรูปฯ อยากเห็นการปฏิรูปที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
เพราะตัวแทนของกลุ่มมาจากหลายภาคส่วนที่คลุกคลีกับพลังงานและเห็นภาพการบริหารมาโดยตลอด
น่าสงสารประเทศไทยที่นักการเมืองเอาราคาพลังงานมาเป็นนโยบายแข่งขันกันหาเสียง หวังว่า คสช.
จะเร่งดำเนินงานปรับโครงสร้างราคาพลังงานต่อไป ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เรื่องต้นทุนที่แท้จริง
ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ข้อมูลชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ได้มีราคาสมมติอย่างที่มีบางคนบอก
ผู้มีอำนาจทางการเมืองต้องพิจารณาให้รอบคอบ ว่าใครพูดจริง ใครพูดโกหก เท่าที่สังเกตดูหลัง
การรัฐประหารทุกครั้งจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ก็หวังว่าครั้งนี้จะเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
นายปิยสวัสดิ์กล่าว
ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ หนึ่งในกลุ่มปฏิรูปพลังงาน กล่าวว่า คสช.ควรเร่งศึกษาปรับโครงสร้างพลังงาน
ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงโดยเร็ว โดยในส่วนของดีเซลนั้นหากปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตก็ควรจะปรับขึ้น
2-3 บาท/ลิตร เพราะยังหากอุดหนุนทั้งแอลพีจี ดีเซล และเอ็นจีวีต่อไปจะไม่ส่งผลดีต่อประเทศ
ที่ผ่านมารัฐสูญเสียรายได้จากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ปีละ 1 แสนล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 3 แสนล้านบาท และการอุดหนุนราคาแอลพีจีนำเข้าทำให้ต้องเสียเงินกองทุนน้ำมัน
เพื่ออุดหนุนส่วนต่างราคาไปแล้ว 2 แสนล้านบาท