เตรียมเสนอ “นายกฯ”พิจารณา ทำเขตเศรษฐกิจพิเศษ เส้นทาง 9A จาก สงขลา-นครศรีธรรมราช-ตรัง-กระบี่ ระยะทาง 135กม.กว้าง 350-400 เมตร ลึก 30 เมตร พร้อมแผนรองรับ. สร้าง เกาะเทียม 2เกาะ ที่สงขลาและกระบี่ ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว และศูนย์กลาง Logistics. หวังผลด้านเศรษฐกิจเติบโตอย่างมาก /ใช้แผนร่วมทุนหลายชาติ. 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใช้เวลาขุด 6ปี/”พลเอกหาญ ลีลานนท์” อดีตแม่ทัพดับไฟใต้ส่งหนังสือถึง “นายกฯบิ๊กตู่” สนับสนุน ขุด”คลองไทย” ทำเสียที ไม่มีผลต่อความมั่นคง หวังรัฐบาลนี้ ไม่”เสียของ” และทำประเทศไทย มั่งคั่ง ยั่งยืน
มีรายงานว่า สมาชิกสปท.สายทหาร กลุ่มหนึ่ง ว่า เตรียมที่จะเสนอ โครงการ ขุด”คลองไทย” ให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. รวมทั้ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม พิจารณา. หลังจากที่ได้ร่วมกับ สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ไทย-จีน และภาคเอกชนของจีน ศึกษามาเป็นเวลาแรมปี
โดยผลจากการศึกษาเบื้องต้น ได้มาทำเป็นแผนโครงการขุด “คลองไทย” โดยนำข้อมูลจากการศึกษาของทุกคณะในอดีตที่ผ่านมา มาประเมินแล้ว รวมทั้งมีการลงพื้นที่หลายครั้ง. ก็พบว่า เส้นทางที่เหมาะสมในการขุด “คลองไทย” มากที่สุดคือ เส้นทาง 9A
จาก ระโนด สงขลา- ควนขนุน พัทลุง- นครศรีธรรมราช -กันตัง ตรัง- อ่าวน้อยกระบี่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสภาพป่าน้อยที่สุด
แต่ก็พาดผ่าน ส่วนหนึ่งของ ลุ่มน้ำปากพนัง แม่น้ำตรัง พรุควนเคร็ง ผ่านชุมชนในบางจุด แต่ถือว่า เป็นเส้นที่มีสร้างผลกระทบน้อยที่สุด
โดยจะเป็นการร่วมทุนของหลายชาติ โดยเฉพาะ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น สเปน หรือแม้แต่สิงคโปร์ ที่แสดงความสนใจ. โดยใช้เงินทุน ราว 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ. ใช้เวลาขุด 6 ปี ทั้งนี้จากแผนรองรับตามโครงการนี้ จะมีการนำ ดินที่ได้จากการขุดคลองไทยปริมาณดิน จากการขุด ราว 5,300 ล้านลูกบาศม์เมตร ไปถม ทำเกาะเทียม2 เกาะ ที่ฝั่งอ่าวไทย คือที่. จ.สงขลา และฝั่งอันดามัน ที่ จ.กระบี่ โดยจะเรียกว่าเป็น “เกาะเหนือ” และ เกาะใต้
โดย เกาะเหนือ ถมเกาะได้ พื้นที่ 83ตร.กม. โดยมีแผนทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์ทะเล สนามกอล์ฟ โรงแรมใหญ่ สวยงาม โดยจัดทำเป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ส่วนเกาะใต้ ฝั่งอันดามันที่กระบี่ จะถมเกาะได้พื้นที่ 84ตร.กม. โดยจะทำเป็นท่าเรือน้ำลึก โซนโลจิสติก สถานีขนส่ง และคลังสินค้า
ตามโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ นี้ จะมีการสร้าง สะพานเชื่อม 2ฝั่งของ”คลองไทย จำนวน 4 สะพาน และ 5 อุโมงค์
โดยเป็น สะพานแขวน สำหรับรถยนต์และสะพานรูปโค้ง ด้านบน สำหรับ รถไฟสายใต้ และอุโมงค์ลอดใต้คลองสาขา ถนน 3ช่องจราจรแยกไปกลับ
ทั้งนี้ จากการศึกษา พบว่า เนื่องจาก ช่องแคบมะละกา ในปัจจุบัน มีความหนาแน่น เรือสินค้าผ่าน 8 หมื่นลำต่อปีหรือคิดเป็น 6.6นาทีต่อลำ และคาดว่า ในอีก5ปีข้างหน้า จะไม่สามารถรองรับปริมาณเรือที่เพิ่มขึ้นได้
ทั้งนี้การขุด “คลองไทย” จะทำให้สามารถ ลดระยะเวลา เดินทางได้ 700 Kmหรือราว 40ชม.
แหล่งข่าวในทีมศึกษาฯ ระบุว่า เราต้องก้าวข้ามความกลัวต่างๆ เพราะเราคิดกันมาเป็นร้อยๆปี ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์. จนป่านนี้ก็ได้แต่ศึกษา ไม่มีความคืบหน้า. เราควรจะต้องเร่งตัดสินใจ เพื่อสร้างประเทศที่เจริญก้าวหน้าเศรษฐกิจดี ร่ำรวย ไว้ให้ลูกหลาน”
ด้าน พลเอกหาญ ลีลานนท์ อดีตแม่ทัพภาค4 และเป็นประธานที่ปรึกษาโครงการศึกษา “คลองไทย” ของสปท. ได้ส่งหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาโครงการนี้
“รัฐบาลควรจะรับไว้พิจารณา และศึกษาและทำให้จริงจัง ให้เป็นจริงเสียที เพราะนี่เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้ ประเทศไทยเรามีความมั่นคงทางเศรษฐกิจผมสนับสนุนโครงการนี้ โดยไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ. แต่เพราะ สนับสนุนมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีรัฐบาลใด กล้าที่จะตัดสินใจ ทำเพื่ออนาคตของประเทศและลูกหลาน โดยมีผลการศึกษา ข้อดีข้อเสียให้พิจารณา
ผมเชื่อว่า ในอนาคต เมื่อมีการ ขุดคลองไทย นี้ขึ้นมาได้สำเร็จ. เศรษฐกิจประเทศไทยก้าวหน้า เราจะเป็นพี่ใหญ่ในอาเซี่ยน. คนไทยมีงานทำมากมาย. จะมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รัฐบาลของท่าน จะไม่ “เสียของ” แล้ว วันนั้น ทุกคนจะเรียกติดปากว่า “คลองประยุทธ์” เลยทีเดียว” พลเอกหาญ กล่าว
“นี่เป็น อนาคตของประเทศ และถือเป็นครั้ง ประวัติศาสตร์ที่ รอ พลเอกประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้นำ ที่มีความเด็ดขาด ที่จะตัดสินใจ” พลเอกหาญ กล่าวเพิ่มเติม
ในฐานะที่ดูแลแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้มา นั้น มองว่าในเชิงความมั่นคง ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ อย่าไปพูดตามกันหรือเชื่อตามกันว่า จะเป็นการแบ่งดินแดน มันเป็นไปไม่ได้. แต่ตรงกันข้ามเศรษฐกิจที่ดี จะทำให้ ขบวนการก่อความไม่สงบเหล่านี้ ไม่สามารถ ใช้ความยากจนของประชาชนในพื้นที่ มาเป็นเครื่องมือในการ ปลุกปั่นประชาชน หรือจ้างด้วยเงินเล็กน้อย ให้ก่อเหตุได้
อีกทั้งกองทัพ เราก็มีหน่วยทหารอยู่ทุกพื้นที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องความมั่นคง ไม่ใช่การแบ่งดินแดน เพราะเรามีการสร้างสะพานเชื่อมต่อทั้่ง ข้างบนและใต้ทะเล ถึงเวลาที่รัฐบาลควรต้องตัดสินใจ