รัฐบาลเชิญชวนผู้มีรายได้น้อย ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐถึง 15 ส.ค.นี้ แนะครอบครัวสำรวจคนใกล้ชิดช่วงหยุดยาว กระตุ้นร่วมโครงการผ่านธนาคาร 3 แห่ง ชี้ฐานข้อมูลมีประโยชน์ ใช้ช่วยเหลือประชาชนได้ตรงจุด
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวนผู้ว่างงานหรือผู้มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี สัญชาติไทย และอายุ 18 ปีขึ้นไป เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยโดยตรงอย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยรัฐบาลมีฐานข้อมูลที่สามารถใช้ประโยชน์ได้
“นายกฯ อยากให้ประชาชนใช้โอกาสที่ได้อยู่ร่วมกันในวันหยุดยาวนี้ตรวจสอบว่า มีญาติพี่น้องหรือบุคคลใกล้ชิดในครอบครัวเข้าข่ายคุณสมบัติดังกล่าวหรือไม่ โดยสามารถไปลงทะเบียนด้วยความสมัครใจได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณี (ธกส.) ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 15 สิงหาคม 2559 และจะต้องยินยอมเปิดเผยข้อมูล เช่น รายได้ ทรัพย์สิน เจ้าหนี้ และจำนวนหนี้สินที่คงค้าง เป็นต้น” พล.ต.สรรเสริญกล่าว
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า เมื่อลงทะเบียนแล้ว ธนาคารทั้ง 3 แห่ง จะส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากรเพื่อจัดเก็บข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้อง และจะเชื่อมโยงไปยังฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทย เพื่อประมวลผลข้อมูลผู้มีรายได้น้อย และนำไปใช้จัดสวัสดิการสังคมแก่ประชาชนในระยะต่อไป ผู้ที่ลงทะเบียนไม่ต้องวิตกกังวลว่า เมื่อให้ข้อมูลกับทางภาครัฐแล้วจะต้องเสียภาษี เพราะหากเป็นผู้ว่างงานหรือมีรายได้น้อยไม่ถึงเกณฑ์ที่รัฐกำหนด ก็ไม่เข้าข่ายผู้เสียภาษีอยู่แล้ว ในทางตรงกันข้าม หากผู้มีรายได้น้อยไม่ไปลงทะเบียน ก็อาจจะเสียสิทธิรับสวัสดิการจากภาครัฐ เช่น รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี หรือสวัสดิการอื่น ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตได้อย่างไรก็ตาม หากประชาชนไปลงทะเบียนไม่ทันในปีนี้ ยังสามารถดำเนินการได้ในปีต่อ ๆ ไป โดยรัฐบาลจะเปิดรับลงทะเบียน ระหว่างวันที่ 1 – 30 กันยายนของแต่ละปี
“โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นหนึ่งในการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคมตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ที่ต้องการแก้ไขปัญหาข้อมูลประชาชนที่กระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง ไม่มีข้อมูลของผู้มีรายได้น้อยรายบุคคลที่บูรณาการข้ามหน่วยงาน
ทำให้ภาครัฐไม่สามารถจัดสวัสดิการสังคม หรือกำหนดนโยบายให้เงินช่วยเหลือได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น สวัสดิการสำหรับเด็กและครอบครัว คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ หรือสวัสดิการด้านการศึกษา และสุขภาพอนามัย เป็นต้น” พล.ต.สรรเสริญกล่าว