นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจ่ายคืนหนี้วงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท ของบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ (ชื่อเดิม กฤษดามหานคร จำกัด หรือ KMC) ให้กับธนาคารกรุงไทยว่า ล่าสุด เอคิวยังไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ดังกล่าวให้แก่ธนาคาร เนื่องจากลูกหนี้ยังไม่สามารถขายที่ดินจำนวน 4,300 ไร่ ที่เป็นหลักประกันได้ และทำให้ไม่มีเงินมาชำระหนี้ได้ตามกำหนดภายในไตรมาส 2 ปีนี้ ดังนั้นธนาคารจึงได้นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องตามกฎหมายต่อศาลฎีกา เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ที่เป็นหลักประกันดังกล่าว และให้อำนาจแก่ธนาคารสามารถนำมาขายทอดตลาดได้ เพื่อจะได้นำเงินที่ได้จากการขายส่วนนี้มาหักชำระคืนหนี้ของธนาคาร
“เดิมเราคาดว่าเอคิวจะขายที่ดินได้ไม่เกินไตรมาส 2 ปีนี้และนำเงินมาชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถบันทึกในส่วนนี้จะเป็นผลกำไรทันทีภายในครึ่งปีแรก และสามารถลดเอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ของธนาคารลงได้ ซึ่งหนี้ก้อนนี้เราได้ตั้งสำรอง 100% ไว้นานแล้ว แต่ล่าสุดพบว่า แม้จะผ่านมา 6 เดือนก็ยังไม่สามารถขายที่ดินแปลงใหญ่นี้ได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การขายที่ดินที่มีมูลค่าสูงจะทำได้ค่อนข้างยาก ซึ่งแบงก์ก็อยากขายให้จบ” นายวรภัคกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อปลายปี 58 ที่ผ่านมา ธนาคารได้หารือร่วมกับเอคิวและได้ข้อสรุปว่า ที่ดินจำนวน 4,300 ไร่ ยังถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเอคิว หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ได้มีคำสั่งให้ทางเอคิวชำระคืนเงินกู้จำนวน 1 หมื่นล้านบาทให้ธนาคารกรุงไทย ทำให้ลูกหนี้สามารถยื่นเรื่องขอบริหารหลักประกัน และสามารถนำที่ดินดังกล่าวไปขายทอดตลาดเองได้
อย่างไรก็ตาม นายวรภัคกล่าวว่า เรื่องการขอให้พิจารณาเรื่องการยึดทรัพย์ดังกล่าว จะต้องขึ้นกับการพิจารณาของศาล รวมถึงกรณีที่ให้สามารถดำเนินการยึดทรัพย์ได้ ก็จะมีกระบวนการดำเนินการเช่นกัน ซึ่งคาดว่าโดยรวมจะต้องใช้เวลานานหลายปี