วันที่ 11 ก.ค.62 เวลา 14.00 น.ที่กองบังคับการปราบปราม : นายอนุพันธ์ ทวีสิทธิศักดิ์ เจ้าของร้านทองแสงเจริญ ใน อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ที่ถูก ร.ต.อ.ภาคภูมิ ทองแจ้ง หรือ ผู้กองหยอง อายุ 48 ปี รอง สว.ป.สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และ น.ส.เพชรรัตน์ ตั้งสิริเมธาพร 48 ปี อดีตภรรยานายอนุพันธ์ฯ จ้างวานกลุ่มชายฉกรรจ์ไปดักรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส โดยมีปมเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องสินสมรสนับร้อยล้านที่ยังตกลงกันไม่ได้ระหว่าง นายอนุพันธุ์ฯ กับ น.ส.เพชรรัตน์ฯ
เดินทางมาเข้าพบ พันตำรวจเอก เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รองผบก.ป.) และพันตำรวจเอก เนติ วงษ์กุหลาบ ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม (ผกก.5 บก.ป.) เพื่อมอบกระเช้าขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีดังกล่าว หลังทราบว่าสามารถจับกุมตัว ร.ต.อ.ภาคภูมิฯ และ น.ส.เพชรรัตน์ฯ สองผู้ต้องหาตัวการสำคัญที่เหลืออยู่ได้เมื่อวันที่ 10 ก.ค.62 ที่ผ่านมา
พ.ต.อ.เอนกฯ กล่าวว่า สำหรับคดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก เมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย.62 ที่ผ่านมา ทาง นายอนุพันธุ์ฯ ผู้เสียหาย ได้เดินทางมาร้องขอความช่วยเหลือกับทางพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ช่วยรับโอนคดีดังกล่าวมาอยู่ในความดูแล เนื่องจากผู้เสียหายเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมทางคดีประกอบกับคดีไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ก่อนจะมีการโอนคดีดังกล่าวมาอยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อที่ทางกองปราบฯ จะได้มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่คดีดังกล่าวถูกโอนมาแล้วนั้น เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีก็ได้เร่งลงพื้นที่สืบหาพยานหลักฐานเป็นการด่วน เนื่องจากช่วงระยะเวลาในการทำงานนั้นมีค่อนข้างจำกัด
พ.ต.อ.เอนกฯ กล่าวต่อว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานทั้งจากพยานบุคคลและพยานแวดล้อมต่างๆ เกี่ยวกับผู้ต้องหาทั้งสองรายซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างกลุ่มคนร้ายไปลงมือก่อเหตุ จนสามารถออกหมายจับและนำไปสู่การติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนที่เหลืออยู่ได้ดังกล่าว ทำให้ขณะนี้สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาในคดีได้ครบทุกรายแล้ว ทั้งนี้สำหรับจำนวนเงินในการว่าจ้างคนร้ายไปก่อเหตุนั้น จากคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งเป็นผู้ลงมือก่อเหตุทั้ง 4 คน ที่ถูกตำรวจ สภ.บ้านโป่ง จับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ ทราบว่าได้รับค่าจ้างจาก ร.ต.อ.ภาคภูมิฯ และ น.ส.เพชรรัตน์ฯ เป็นจำนวนเงินตั้งแต่ 3-5 หมื่นบาท
ด้าน นายอนุพันธ์ฯ กล่าวว่า รู้จักและสนิทสนมกับ ร.ต.อ.ภาคภูมิฯ ผู้ต้องหามาตั้งแต่เขายังเป็นตำรวจชั้นประทวน ซึ่งหลังจากตนเลิกกับภรรยาก็ได้นำลูกสองคนมาเลี้ยง ส่วนภรรยานำลูกอีกคนไปเลี้ยง ตนจึงยกร้านทองให้ อดีตภรรยาไปใช้ทำมาหากิน ระหว่างที่เลิกกัน ร.ต.อ.ภาคภูมิฯ ก็เข้าไปคอยช่วยเหลือดูแล น.ส.เพชรรัตน์ฯ กระทั่ง น.ส.เพชรรัตน์ฯ ได้ขอตึกแถวราคา 25 ล้านที่ตนเคยบอกว่าจะยกให้ลูกและมรดกอื่นๆ รวมร้อยล้าน แต่ตนไม่ยินยอม อดีตภรรยาก็ได้ไปยื่นฟ้องร้องต่อศาล
นายอนุพันธ์ฯ กล่าวต่อว่า จากนั้นตนเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามีคนคุกคาม เริ่มจาก นายโกมลรัตน์ รุ่งเรือง น้องชาย ได้ถูกคนร้าย 2 คน รุมตีได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ครั้ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าคนร้ายมุ่งจะทำร้ายตน เนื่องจากตนได้ให้น้องชายขับรถให้ คนร้ายคงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตน หลังจากนั้นก็ได้จ้างคนมาดูแลความปลอดภัยให้ แต่ก็ไม่วายมาโดนตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว
“หลังเกิดเหตุตำรวจท้องที่จับกุมคนร้ายที่รุมตีผมได้ แต่ไม่ยอมจับคนจ้างวาน จึงเข้าร้องกองปราบฯ จนมีการจับกุมดังกล่าว ซึ่งต้องขอขอบคุณทาง พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป.,พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป.และ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป.พร้อมทีมงานที่ช่วยติดตามจับกุมคนจ้างวานมาได้ อย่างไรก็ตามหลังเกิดเรื่องลูกๆ ก็อกสั่นขวัญหาย แต่พอจับกุมคนร้ายได้สภาพจิตใจลูกๆ ก็ดีขึ้นมาก” นายอนุพันธ์ฯ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังจากสามารถจับกุม ร.ต.อ.ภาคภูมิฯ และ น.ส.เพชรรัตน์ฯ สองผู้ต้องหาคนสำคัญทางคดีซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างได้แล้วนั้น ทางพนักงานสอบสอบสวน กก.5 บก.ป. ก็ได้เชิญตัว นายตำรวจตำแหน่ง รอง ผบก.ภ.จ.ราชบุรี ท่านหนึ่งมาเข้าให้ปากคำเกี่ยวกับคดีดังกล่าวในฐานะพยาน หลังพบว่ามีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับ ร.ต.อ.ภาคภูมิฯ โดยใช้เวลาในการให้ปากคำนานร่วม 1 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับออกไป ทั้งนี้จากคำให้การของรอง ผบก.ภ.จ.ราชบุรี ท่านดังกล่าว ทราบว่ารู้จักมักคุ้นกับ ร.ต.อ.ภาคภูมิฯ จริง เนื่องจาก ร.ต.อ.ภาคภูมิฯ เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามาก่อน แต่ยืนยันว่าตนเองไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือให้การช่วยเหลือทางคดีดังกล่าวแต่อย่างใด
Cr.เจริญผล เอี่ยมพึ่ง
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน