วันอังคารที่ 9 ก.ค.62 เวลา 09.30 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) : นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พานายเอ (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี เจ้าหน้าที่ทหารเกณฑ์ สังกัดกรมทหารสารวัตรทหารอากาศดอนเมือง พร้อมด้วยนายทิพย์ (นามสมมุติ) อายุ 51 ปี บิดา นางแก้ว (นามสมมุติ) อายุ 43 ปี มารดา เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.หญิง บุญทิวา ลิ้มศิริลักษณ์ สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมหลัง นายเอ ถูกครูฝึกทหารในค่ายฝึกของทหารสังกัดดังกล่าวทำโทษจนได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยนำเอกสารผลตรวจร่างกายและภาพถ่ายร่องรอยฝกช้ำตามร่างกายมามอบให้กับพนักงานสอบสวนประกอบการพิจารณา
นายเอฯ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้สมัครเข้าเป็นทหารเกณฑ์ในสังกัดดังกล่าวและเข้ารับการฝึกอยู่ภายในค่ายมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว กระทั่งเมื่อช่วงเช้าวันที่ 2 ก.ค.62 ที่ผ่านมา ทางกลุ่มครูฝึกได้เรียกตนเข้าไปพบ เพราะจับได้ว่าตนฝ่าฝืนกฎระเบียบของค่ายฝึกแอบใช้โทรศัพท์มือถือนอกเหนือเวลาที่ทางค่ายกำหนด เมื่อไปถึงทางครูฝึกก็ได้ทำโทษตนด้วยการตบหน้า ใช้ไม้ไผ่ฟาดตามร่างกาย รวมถึงใช้กำลังทำร้ายร่างกายตนทั้ง กระทืบ ชกต่อย ทุบตี นานร่วมร่วม 20 นาที ก่อนจะปล่อยตนไปเข้าฝึกอบรมที่ฐานอื่นๆตามปกติ ต่อมาช่วงเที่ยงของวันเดียวกันครูฝึกกลุ่มเดิมก็ได้เรียกตนขึ้นไปพบอีกครั้ง เมื่อไปถึงก็ให้ตนนั่งลงแล้วใช้มือกดหัวตนคว่ำหน้ากระแทกลงไปกับจานข้าวที่วางไว้ ก่อนจะนำแกลลอนน้ำมาวางบนหัวแล้วเทน้ำใส่ รวมถึงนำฝาหม้อมาโขกหัว โดยระหว่างที่กำลังถูกทำโทษนั้นทางกลุ่มครูฝึกก็ได้มีการนำมีดมาขู่ด้วยการทำท่าทางเหมือนจะแทงที่หน้าอก ก่อนจะวางมีดลงแล้วหันมาใช้กำลังทำร้ายร่างกายตนแทน
“ตนจำได้ว่าในวันดังกล่าวตนโดนครูฝึกทำร้ายร่างกายตั้งแต่ 6 โมงเช้า จนถึง 4 โมงเย็น ตลอดทั้งวันถูกเรียกไปทำโทษมากถึง 6 ครั้ง ซึ่งในขณะที่ตนกำลังถูกทำร้ายร่างกายนั้น เพื่อนๆทหารเกณฑ์คนอื่นๆก็เห็นเหตุการณ์หมด เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเข้าช่วยเหลือ นอกจากนี้ในช่วง 5 ทุ่มของวันเดียวกัน ครูฝึกยังได้เรียกตนเข้าไปพบอีกครั้ง พร้อมกับพูดจาข่มขู่ถ้าหากหนีตนตายแน่ แต่เพราะด้วยความหวาดกลัวว่าหากอยู่ต่อก็คงจะถูกทำร้ายร่างกายต่ออีกแน่จึงตัดสินใจหนีออกจากค่ายมาเพื่อรักษาชีวิต ทั้งนี้จากเรื่องราวดังกล่าวตนยอมรับว่ามีส่วนผิด ที่ฝ่าฝืนทำผิดกฎระเบียบของค่ายฝึกจริง แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำร้ายร่างกายกันถึงขนาดนี้ เพราะตนเองก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับครูฝึกมาก่อนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามในส่วนของครูฝึกที่ทำร้ายร่างกายตนนั้น ตนจำได้ว่ามีประมาณ 3 คน โดยแบ่งเป็นจ่าเวร 1 คน และผู้ช่วยจ่าเวรอีก 2 คน ” นายเอฯ กล่าว
ด้าน นายรณรงค์ฯ กล่าวว่า สำหรับที่เลือกพาผู้เสียหายมาร้องกองปราบฯ ในวันนี้ก็เพื่อต้องการให้ทางกองปราบฯ เป็นหน่วยงานรับทำคดีแทนตำรวจท้องที่ ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจการทำงานของตำรวจท้องที่ แต่เกรงว่าหากปล่อยไว้นานทางเจ้าหน้าที่ทหารคู่กรณีจะมานำตัวผู้เสียหายกลับเข้ากรมไปอีก จนทำให้ไม่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกัน เพราะหลังจากที่ผู้เสียหายหนีออกมา ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารไปเฝ้าดักรอที่บริเวณหน้าบ้านของผู้เสียหาย พร้อมกับบอกคนในบ้านว่าหากพบเจอก็ให้รีบพาตัวผู้เสียหายกลับเข้ากรม รวมถึงเมื่อช่วงเช้าก่อนที่จะเดินทางมากองปราบฯ นั้นก็ได้มีรถทหารขับมาจอดอยู่แถวๆบริเวณหน้าบ้านอีกด้วย
นายรณณรงค์ฯ กล่าวอีกว่า ขณะที่ในส่วนของสภาพจิตใจของผู้เสียหายตอนนี้ ยังคงมีอาการหวาดกลัวอยู่ แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร แต่ในส่วนของสภาพร่างกายนั้น เมื่อวันที่ 7 ก.ค.62 ก็ได้มีการไปตรวจร่างกาย ที่ รพ.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ซึ่งทางแพทย์แจ้งว่าจะต้องรักษาอาการอีก 1 สัปดาห์ เพราะอาการตอนนี้ยังไม่สามารถเดินหรือนั่งได้เหมือนคนปกติ ขณะที่ในส่วนของการดำเนินคดีนั้นเบื้องต้นจะดำเนินคดีในข้อหา ทำร้ายร่างกาย “หลังจากนี้ตนและครอบครัวของผู้เสียหายจะขอรอฟังคำชี้แจงจากกองทัพอากาศว่าการลงโทษด้วยไม้เฆี่ยนตีหรือใช้กำลังทำร้ายร่างกายหนักแบบนี้มันอยู่ในหลักการฝึกฝนหรือไม่ และการกระทำดังกล่าว ครูฝึกทำเกินกว่าเหตุหรือไม่” นายรณรงค์ กล่าว
ด้าน นายทิพย์ กล่าวว่า ภายหลังเกิดเรื่องขึ้น ทุกวันนี้ตนต้องมานั่งเป็นกังวลและเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยของลูกชาย เพราะเขายังเด็ก และถ้าหากในวันนั้นลูกไม่หนีมาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกจะได้มายืนอยู่ตรงนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตามทางพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหายไว้ในเบื้องต้น เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาควบคู่กับพยานหลักฐานที่ทางผู้เสียหายนำมามอบให้ ก่อนรวบรวมส่งต่อให้กับผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
Cr.เจริญผล เอี่ยมพึ่ง
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน