เอลิซาเบธ กิลเบิร์ต นักเขียนนิยายเรื่องดัง อีท เพรย์ เลิฟ ( Eat Pray Love) ที่เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดนำแสดงโดย จูเลีย โรเบิร์ต ออกฉายเมื่อปี 2553 ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กของเธอเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่าเธอได้ตัดสินใจ “แยกทาง” กับ โฮเซ่ นูเนส ผู้ชายที่เธอพบรักที่บาหลี ระหว่างกำลังเดินทางเพื่อค้นหาความต้องการของตัวเอง และเป็นผู้ชายที่เป็นแรงบันดาลใจ เป็นที่มาของตัวละครชื่อ “ฟิลลิป” ใน อีท เพรย์ เลิฟ นิยายเรื่องดังของเธอ
“ฉันได้แยกทางกับผู้ชายที่พวกคุณหลายคนรู้จักเขาในชื่อ “ฟิลลิป” ผู้ชายที่ฉันตกหลุมรักในตอนจบของ Eat Pray Love เขาเป็นคู่ชีวิตที่รักของฉันมากว่า 12 ปี และช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมาก การแยกทางของเราเป็นความสมัครใจของเราทั้งคู่ และเหตุผลของเราก็เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างยิ่ง”
ข้อความบางส่วนในเฟซบุ๊ก ที่กิลเบิร์ตโพสต์ โดยว่าเนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา เธอเคยแชร์เรื่องราวชีวิตส่วนตัวให้แฟนๆ ของเธอได้ติดตามมาตลอด ดังนั้นเมื่อเธอตัดสินใจแยกทางกับสามี เธอจึงอยากบอกกล่าวให้แฟนๆ ของเธอได้รู้ด้วย แต่ก็ขอให้แฟนๆ เคารพความเป็นส่วนตัวของเธอและสามีด้วยเช่นกัน โดยว่า “ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนถ่ายนี้ ฉันหวังว่าพวกคุณจะเคารพความเป็นส่วนตัวของเรา ซึ่งในใจของฉันรู้ดีว่า พวกคุณจะทำเช่นนั้น เพราะฉันไว้ใจว่าพวกคุณเข้าใจดีว่า นี่คือเรื่องราวชีวิตที่ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วย ไม่ใช่เรื่องราวที่ฉันกำลังบอกเล่า”
เอลิซาเบธ กับ ผลงานอีท เพรย์ เลิฟ
ทั้งนี้จากข่าวว่า กิลเบิร์ตนักเขียนชาวอเมริกันชื่อดังวัย 46 กำลังจะดำเนินเรื่องฟ้องหย่าขาดจากสามีซึ่งเป็นชาวบราซิล และเป็นผู้ชายที่เธอตกลงปลงใจแต่งงานด้วยเมื่อปี 2550 หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตคู่ เปิดร้านขายเสื้อผ้าที่นำเข้าจากประเทศในแถบเอเชียด้วยกันอยู่ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์พักหนึ่ง
ก่อนจะมาพบรักจนตัดสินใจแต่งงานอีกครั้งกับโฮเซ่ นูเนส กิลเบิร์ตเคยผิดหวัง และเสียใจกับชีวิตคู่ที่จบลงด้วยการหย่าร้างมาแล้ว และเป็นที่มาของนิยายเรื่อง Eat Pray Love ที่มาจากการเขียนบันทึกส่วนตัว ที่กิลเบิร์ตเล่าถึงเรื่องราวการเดินทางไปอิตาลี เมื่อตอนอายุ 32 ที่เธอได้มีโอกาสเที่ยวลิ้มลองรสชาติอาหารพื้นเมืองของอิตาลี และใช้เวลา 4 เดือนเพื่อเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆ ทั้งที่อินเดีย บาหลี เพื่อค้นหาตัวเอง และในที่สุดเธอก็ค้นพบความรักอีกครั้ง โดยเรื่องราวในบันทึกการเดินทางของเธอ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ และสีสันในการเดินทางท่องเที่ยว ได้เป็นแรงบันดาล และถูกใจนักอ่านนับล้าน หลังจากได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี 2549 และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศกว่า 30 ภาษา ทำยอดขายได้กว่า 10 ล้านเล่ม และกลายเป็นคัมภีร์รัก สำหรับหนุ่มสาวรุ่นใหม่
ต่อมาเมื่อปี 2551 กิลเบิร์ตยังได้รับเลือกจากนิตยสารไทมส์ให้มีชื่อติด 1 ใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลในโลกด้วย ขณะที่ในปี 2553 นิยายเรื่อง Eat Pray Love ของเธอ ก็ถูกซื้อนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ มาร์ค เคอร์โหมด นักวิจารณ์ของบีบีซี เคยเขียนวิจารณ์ถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ว่า
“เป็นภาพยนตร์ที่ต้องการบอกให้รู้ว่า การรู้จักเรียนรู้ที่จะรักตัวเองให้เป็น คือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”