จากกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้ทำการจับกุมตัว นายอัจฉริยะ วิโรจน์สุโนบล หรือเจ้าแม็ก อัจฉริยะ อำนาจมวยไทยยิม นักมวยแชมป์สภามวยแห่งเอเชีย (WBC เอเชีย) รุ่นซูเปอร์ไลทเวต น้ำหนักไม่เกิน 140 ปอนด์หรือ 63.5 กิโลกรัม ขณะกำลังจะขึ้นเครื่องเดินทางไปชกอุ่นเครื่องที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 6 เม.ย.62 ที่ผ่านมา ในข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดประเภทที่ 1 หรือ ยาบ้า ไว้เพื่อจำหน่าย
หลังพบว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดจากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองระนอง สกัดจับกุมขบวนการลักลอบขนยาเสพติดจำนวน 5 คน พร้อมกับของกลางยาบ้า จำนวน 3.4 ล้านเม็ด ขณะตั้งจุดตรวจ ริมถนนเพชรเกษม บริเวณด่านกักกันสัตว์ ต.บางนอน อ.เมืองระนอง จ.ระนอง เนื่องจาก 1 ในผู้ต้องหาได้มีการชัดทอดถึง นาย อัจฉริยะฯ จนนำไปสู่การจับกุมตัว ซึ่งขณะนี้นายอัจฉริยะฯ ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดระนอง ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าวล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 เม.ย.62 ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นาย เอกกวี แก้วมณี อายุ 38 ปี เจ้าของยิมเอกทวีมวยไทย จ .นครปฐม พร้อมด้วย น.ส. นลินตา จีรเดชชนดล อายุ 30 ปี ภรรยา พร้อมด้วยนาง ภัทรภร ชำนาญศิลป์ อายุ 61 ปี แม่ยายของนายอัจฉริยะ วิโรจน์สุโนบล หรือเจ้าแม็ก อัจฉริยะ อำนาจมวยไทยยิม นักมวยแชมป์สภามวยแห่งเอเชีย (WBC เอเชีย) รุ่นซูเปอร์ไลทเวต น้ำหนักไม่เกิน 140 ปอนด์หรือ 63.5 กิโลกรัม
เดินทางเข้าพบ ร้อยตำรวจเอก วิชิต สันติสิทธิ์มลธร รองสารวัตรกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม (รองสว.กก.5 บก.ป.) เพื่อร้องขอความเป็นธรรมจากกรณีนายอัจฉริยะฯ ถูกจับกุมในคดียาเสพติดดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่านายอัจฉริยะฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดดังกล่าวแต่อย่างใด โดยนำหลักฐานเอกสารต่างๆมายื่นให้พนักงานสอบสวนเพื่อประกอบการพิจารณา
น.ส.นลินตาฯ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นและยืนยันว่านายอัจฉริยะฯ ไม่เคยรู้จักกับขบวนการค้ายาเสพติดกลุ่มดังกล่าวมาก่อน แต่กลับถูกจับกุม ซึ่งตนเชื่อว่าการที่นายอัจฉริยะฯ ถูกจับกุมตัวนั้น น่าจะเป็นผลมาจากการขายรถยนต์ ให้กับนายเอกกวีฯ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยเป็นการขายแบบโอนลอย ก่อนจะมีการนำรถไปขายต่อให้กับเต็นท์รถมือสองแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 5 ส.ค.61
จากนั้นประมาณ 1 เดือน เต็นท์รถก็ขายต่อให้กับ 1 ในขบวนการค้ายาเสพติดกลุ่มดังกล่าว เมื่อวันที่ 5 ก.ย.61 ซึ่งขณะนั้นชื่อผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวยังเป็นชื่อของนายอัจฉริยะฯ อยู่ กระทั่งกลุ่มขบวนการยาเสพติดดังกล่าวได้ถูกตำรวจจับกุมพร้อมกับยาเสพติดของกลางและรถยนต์คันดังกล่าว เมื่อวันที่ 13 พ.ย.61 ที่ จ.ระนอง ที่ผ่านมา ส่วนกรณีที่ 1 ในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมมีการซัดทอดว่านายอัจฉริยะฯ มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้น น่าจะเป็นการให้การเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดหรือพูดลอยๆ โดยเอาข้อมูลส่วนตัวของนายอัจฉริยะฯ จากเอกสารสำเนาบัตรประชาชนที่แนบไปตอนที่มีการซื้อขายรถมาใช้เป็นคำให้การ เพราะเมื่อดูจากคำให้การของผู้ต้องหาแล้วจะพบว่ามีการเรียกชื่อเล่นของนายอัจฉริยะฯ ผิด ซึ่งหากรู้จักกันจริงจะต้องไม่เรียกชื่อเล่นของนายอัจฉริยะฯ ผิดอย่างแน่นอน
ด้าน นายเอกกวีฯ กล่าวต่อว่า สำหรับวันนี้ตนได้นำหลักฐานเป็นเอกสารการซื้อขายรถทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น พร้อมภาพถ่ายประกอบการซื้อขาย ตลอดจน ภาพและคลิปวีดีโอบนเฟซบุ๊ก และเอกสารการจองโรงแรมที่ยืนยันว่านายอัจฉริยะฯ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่จังหวัดระนองในช่วงเวลาที่กลุ่มขบวนการยาเสพติดก่อเหตุ แต่กำลังเข้าค่ายฝึกซ้อมมวยอยู่ที่ค่ายมวยของตนเองที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งระยะทางก็ไกลกันมาก ไม่มีทางที่นายอัจฉริยะฯ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ได้แน่นอน ซึ่งการที่ตนและครอบครัวของนายอัจฉริยะฯ เดินทางมายังกองปราบฯ ในวันนี้ก็เพื่อต้องการให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะก่อนหน้านี้นายอัจฉริยะฯ ไม่เคยถูกออกหมายเรียกเพื่อไปให้ปากคำใดๆ แต่กลับมาถูกจับกุม
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้รับเรื่องไว้ พร้อมกับสอบปากคำ เพื่อนำไปพิจารณาควบคู่กับพยานหลักฐานต่างๆ ที่ทางครอบครัวนำมามอบให้ประกอบการพิจารณา ก่อนจะส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการสั่งการต่อไป
Cr.เจริญผล เอี่ยมพึ่ง
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน