รายงานประจำปีของกระทรวงกลาโหมสหรัฐระบุว่า รัฐบาลปักกิ่งใช้กลยุทธ์การทูตและการทหารแบบ “บีบบังคับ” เพื่อสร้างความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ แต่มีชั้นเชิงในการควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายเป็นการสู้รบ
สหรัฐเสนอรายงานประจำปีต่อสภาคองเกรส เมื่อวันศุกร์ ว่าด้วยการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวทางทหารของจีนตลอดปี 2558 ว่ารัฐบาลปักกิ่งดำเนินนโยบายกลาโหมโดยเป็นการผสมผสานร่วมกับกลยุทธ์การทูตแบบบีบบังคับ เพื่อรักษาระดับความตึงเครียดของกรณีพิพาทเรื่องการแย่งชิงอาณาเขตทางบกและทางทะเลในเอเชีย คือทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก โดยแผนการของรัฐบาลปักกิ่งเป็นไปอย่างมีชั้นเชิง คือเพิ่มความขัดแย้งแต่สามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายถึงขั้นเป็นการขัดกันด้านอาวุธ ทั้งนี้ หนึ่งในเทคนิคบีบบังคับที่จีนใช้ตามการวิเคราะห์ของเพนตากอน คือการให้เรือตรวจการณ์หรือเรือประมงแสดงพฤติกรรม “ไม่เหมาะสม” ด้วยการแล่นเข้ามาในอาณาเขตน่านน้ำพิพาท โดยเฉพาะน่านน้ำรอบหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ และหมู่เกาะเตียวหยูหรือเซนกากุในทะเลจีนตะวันออก เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ประสบความสำเร็จในทางจิตวิทยา คือประเทศคู่พิพาทของจีนจะต้องออกมาเคลื่อนไหวตามโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ เพนตากอนยังคำนวณการถมทะเลของรัฐบาลปักกิ่งในทะเลจีนใต้ระหว่างปี 2557-2558 ว่าเป็นการขยายอาณาเขตมากกว่า 1,300 เฮกเตอร์ บริเวณแนวปะการัง 7 แห่งรอบหมู่เกาะสแปรตลีย์ ในจำนวนนี้รวมถึงการก่อสร้างรันเวย์ 3 แห่ง ที่มีความยาวแห่งละ 3,000 เมตร นอกจากนี้ เพนตากอนยังคาดการณ์ว่าจีนมีแผนก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างทางทหารเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งบนเกาะเทียมในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย