รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน หรืออีเลคตริค เวฮิเคิล (อีวี) มีความสำคัญในฐานะที่เป็นทั้งยานพาหนะที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดภาวะโลกร้อนและช่วยแก้ไขปัญหาอากาศเป็นพิษในเขตเมืองก็จริงแต่ทุกวันนี้ราคาของรถอีวียังคงสูงกว่าราคารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงให้พลังงานอยู่มาก ส่งผลให้ในเวลานี้มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์ใหม่ที่ถูกขายออกไปเท่านั้นที่ใช้ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก นิวเอเนอร์ยี ไฟแนนซ์ (บีเอ็นอีเอฟ) เผยแพร่รายงานเชิงวิเคราะห์ออกมาเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้คาดการณ์ว่า ต้นทุนในการเป็นเจ้าของรถอีวี (ราคาขายบวกกับค่าใช้จ่ายในการใช้งาน) ของรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานจะลดลงจนเหลือต่ำกว่าต้นทุนในการเป็นเจ้าของรถใช้น้ำมันด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในภายในปี 2022 หรืออีก 6 ปีข้างหน้านี้เท่านั้น แม้ว่ารถใช้น้ำมันจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้นปีละ 3.5 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม โดยประเมินจากราคาน้ำมันคาดการณ์ที่ 50-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
โคลิน แม็คเคอร์แรเชอร์ หัวหน้าทีมวิเคราะห์ของบีเอ็นอีเอฟ ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนของรถใช้ไฟฟ้าลดลงมากนั้นเป็นเพราะราคาแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถปรับลดลงอย่างมาก โดยแบตเตอรี่ ลิเธียม-ไอออน ราคาในเวลานี้ลดลงจากระดับเมื่อปี 2510 ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 350 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ในอีก 6 ปีข้างหน้าคาดว่าจะลดลงอีกเหลือเพียง 120 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อมีการพัฒนาเคมีใหม่ๆ ขึ้นมาใช้ และจะส่งผลให้ 35 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรถใหม่ทั่วโลกในปี 2040 จะเป็นรถอีวี
ทั้งนี้ รถยนต์ใช้ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาในปี 2015 มีเพียง 280,000 คัน โดย 186,000 คันในจำนวนนั้นคือ รถยนต์นิสสัน ลีฟ ที่ขายดีที่สุดในเวลานี้
ที่มา นสพ.มติชนรายวัน,ประชาชาติธุรกิจ